ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) คือแนวคิดทางบัญชีและการเงินที่ใช้สะท้อนการลดมูลค่าของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Assets) เมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะสินทรัพย์ที่ใช้ในกิจการ เช่น เครื่องจักร อาคาร รถยนต์ หรือคอมพิวเตอร์ มูลค่าของสิ่งเหล่านี้จะค่อยๆ ลดลงตามการใช้งาน อายุการใช้งาน และความล้าสมัย
หนึ่งในวิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคาที่นิยมและเข้าใจง่าย คือการคำนวณ ค่าเสื่อมราคาแบบคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งในบทความนี้เราจะเจาะลึกถึงการคำนวณแบบ 20% ต่อปี ทั้งในเชิงแนวคิด วิธีปฏิบัติจริง และข้อควรระวัง
ความหมายของค่าเสื่อมราคา
ก่อนเข้าสู่วิธีการคำนวณ เราต้องเข้าใจหลักการของค่าเสื่อมราคา
สินทรัพย์ถาวรที่มีการคิดค่าเสื่อม
- อาคารสำนักงาน
- คอมพิวเตอร์
- รถยนต์
- เครื่องจักร
- เฟอร์นิเจอร์สำนักงาน
จุดประสงค์ของการคิดค่าเสื่อมราคา
- สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของการใช้สินทรัพย์
- กระจายต้นทุนของสินทรัพย์ให้สัมพันธ์กับระยะเวลาการใช้งาน
- ช่วยวางแผนทางการเงินสำหรับการเปลี่ยนสินทรัพย์ในอนาคต
วิธีการคิดค่าเสื่อมราคา
วิธีคิดค่าเสื่อมราคาแบบเส้นตรง (Straight-Line Method)
เป็นวิธีที่ง่ายและนิยมที่สุด โดยการหักค่าเสื่อมในอัตราเท่ากันทุกปีจนถึงสิ้นสุดอายุการใช้งาน
สูตร
คัดลอกแก้ไขค่าเสื่อมราคาต่อปี = (ราคาทุน - มูลค่าคงเหลือ) ÷ อายุการใช้งาน
วิธีคิดค่าเสื่อมราคาแบบร้อยละคงที่ (Declining Balance Method)
เมื่อระบุว่า “คิดค่าเสื่อม 20% ต่อปี” มักหมายถึง วิธีอัตราร้อยละคงที่จากมูลค่าคงเหลือ หรือเรียกอีกชื่อว่า วิธีอัตราเร่ง (Accelerated Depreciation) โดยมูลค่าที่ใช้คำนวณในแต่ละปีจะลดลงทุกปี
สูตร
คัดลอกแก้ไขค่าเสื่อมราคาปีที่ n = มูลค่าสุทธิของสินทรัพย์ ณ ต้นปี × อัตราร้อยละ
เช่น 20% ต่อปี ก็หมายถึงการคูณมูลค่าสุทธิของสินทรัพย์ด้วย 20% ทุกปี
ตัวอย่างการคำนวณค่าเสื่อมราคา 20% ต่อปี
สมมุติ
- ราคาทุนของสินทรัพย์: 100,000 บาท
- มูลค่าคงเหลือ: 0 บาท
- อายุการใช้งาน: ไม่ระบุชัด (แต่ใช้คำนวณจนกว่ามูลค่าจะใกล้ 0)
- วิธี: อัตราร้อยละคงที่ 20% ต่อปี
ปีที่ 1
matlabคัดลอกแก้ไขค่าเสื่อม = 100,000 × 20% = 20,000
มูลค่าคงเหลือ = 100,000 - 20,000 = 80,000
ปีที่ 2
matlabคัดลอกแก้ไขค่าเสื่อม = 80,000 × 20% = 16,000
มูลค่าคงเหลือ = 80,000 - 16,000 = 64,000
ปีที่ 3
matlabคัดลอกแก้ไขค่าเสื่อม = 64,000 × 20% = 12,800
มูลค่าคงเหลือ = 64,000 - 12,800 = 51,200
สรุป 3 ปีแรก
ปีที่ | มูลค่าต้นปี (บาท) | ค่าเสื่อม (บาท) | มูลค่าคงเหลือปลายปี (บาท) |
---|---|---|---|
1 | 100,000 | 20,000 | 80,000 |
2 | 80,000 | 16,000 | 64,000 |
3 | 64,000 | 12,800 | 51,200 |
สังเกต:
- ค่าเสื่อมจะลดลงทุกปี
- มูลค่าคงเหลือจะไม่เท่ากับ 0 ทันที แต่จะลดลงเรื่อยๆ
- วิธีนี้สะท้อนความเป็นจริงมากกว่า เพราะสินทรัพย์มักจะเสื่อมมากในช่วงปีแรกๆ
เปรียบเทียบกับวิธีเส้นตรง
รายการ | วิธีเส้นตรง | วิธีร้อยละคงที่ (20%) |
---|---|---|
ค่าเสื่อมต่อปี | เท่ากันทุกปี | ลดลงทุกปี |
การใช้งาน | ทั่วไป เหมาะกับสินทรัพย์เสื่อมเท่าๆ กัน | เหมาะกับสินทรัพย์เสื่อมเร็วในช่วงต้น |
ความยืดหยุ่น | น้อย | มาก |
ความเข้าใจ | ง่าย | ต้องใช้ความเข้าใจเรื่องการลดลงแบบทบต้น |
การบันทึกบัญชีค่าเสื่อมราคา
ตัวอย่างการบันทึกบัญชีในปีแรก
สมมุติใช้วิธี 20% บนราคาทุน 100,000 บาท
รายการ:
คัดลอกแก้ไขเดบิต ค่าเสื่อมราคา – คอมพิวเตอร์ 20,000
เครดิต ค่าเสื่อมราคาสะสม – คอมพิวเตอร์ 20,000
ทุกปีจะมีการเพิ่มค่าเสื่อมราคาสะสมเข้าไป โดยไม่กระทบกับราคาทุนดั้งเดิมของสินทรัพย์
ข้อควรระวังในการคิดค่าเสื่อม 20% ต่อปี
- ไม่ควรใช้กับสินทรัพย์ที่มีอายุใช้งานสั้นมาก
- เพราะอาจจะทำให้มูลค่าคงเหลือผิดพลาด
- มูลค่าคงเหลือไม่ควรติดลบ
- ต้องกำหนดจุดหยุดคิดเมื่อมูลค่าเหลือต่ำกว่าจุดหนึ่ง
- ไม่ควรใช้มั่วโดยไม่มีนโยบายบัญชีรองรับ
- ต้องมีเอกสารรองรับว่าทำไมใช้อัตรา 20%
- ภาษีอาจไม่ยอมรับวิธีเดียวกัน
- บางประเทศหรือกฎหมายภาษีไม่อนุญาตให้ใช้วิธีเร่งค่าเสื่อม
การใช้ในทางธุรกิจจริง
ในธุรกิจจริง การเลือกอัตราค่าเสื่อม 20% มักใช้กับ:
- คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไอที (อายุใช้งานสั้นประมาณ 5 ปี)
- ยานพาหนะ
- เครื่องมือสำนักงานที่เสื่อมเร็ว
การเลือกอัตราที่เหมาะสมเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะส่งผลต่อกำไรทางบัญชีและภาษีที่ต้องชำระ
การคิดค่าเสื่อมราคาในอัตรา 20% ต่อปี เป็นวิธีที่มีประโยชน์สำหรับกิจการที่ต้องการสะท้อนต้นทุนของสินทรัพย์อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงต้นของอายุการใช้งาน แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวังเพื่อให้ถูกต้องตามหลักบัญชี และไม่ขัดต่อกฎหมายภาษี
ข้อควรจำ:
- เลือกวิธีที่เหมาะกับลักษณะสินทรัพย์
- ต้องมีนโยบายบัญชีที่ชัดเจน
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการคิดค่าเสื่อมราคาไม่เกินมูลค่าทุน
- ปรึกษาผู้สอบบัญชีหรือที่ปรึกษาภาษีเมื่อจำเป็น