หลายคนที่กู้ซื้อบ้านอาจเคยได้ยินคำว่า MRTA จากเจ้าหน้าที่ธนาคาร หรือเห็นเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของสัญญากู้บ้าน ซึ่งอาจทำให้สงสัยว่า MRTA คืออะไร จำเป็นต้องทำไหม และมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่
การทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA) ไม่ได้เป็นเพียงข้อเสนอของธนาคาร แต่ยังเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้ทั้งผู้กู้และครอบครัวว่า หากเกิดเหตุไม่คาดคิด หนี้สินบ้านจะไม่ตกเป็นภาระของคนที่คุณรัก
บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า MRTA คืออะไร ครอบคลุมถึงความหมาย ประโยชน์ เงื่อนไข ค่าใช้จ่าย ข้อควรระวัง และการเปรียบเทียบกับประกันรูปแบบอื่นๆ
MRTA คืออะไร?
MRTA (Mortgage Reducing Term Assurance) คือ ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน หากผู้กู้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรก่อนผ่อนบ้านหมด บริษัทประกันจะชำระหนี้ที่เหลือแทน ทำให้ครอบครัวไม่ต้องรับภาระหนี้สิน
สรุปง่ายๆ คือ MRTA = ประกันชีวิตสำหรับเงินกู้บ้าน
ความสำคัญของ MRTA
- คุ้มครองครอบครัว – หากเกิดเหตุไม่คาดคิด ครอบครัวไม่ต้องผ่อนหนี้บ้านต่อ
- สร้างความมั่นใจให้ธนาคาร – ธนาคารมั่นใจว่าหนี้จะได้รับชำระ แม้ผู้กู้ไม่สามารถผ่อนต่อได้
- ลดความเสี่ยงทางการเงิน – บ้านเป็นทรัพย์สินใหญ่ที่สุดของครอบครัว MRTA ช่วยปกป้องจากการสูญเสียบ้าน
ระยะเวลาความคุ้มครอง MRTA
- โดยทั่วไป 5, 10, 15 หรือ 20 ปี
- ครอบคลุมเฉพาะช่วงที่ทำประกัน ไม่ใช่ตลอดอายุสัญญากู้เสมอไป
- หากกู้บ้าน 30 ปี อาจเลือกทำ MRTA 10 ปี ซึ่งคุ้มครองเฉพาะช่วงแรก
ค่าเบี้ยประกัน MRTA
ค่าเบี้ย MRTA จ่ายครั้งเดียว ณ วันทำสัญญา ขึ้นอยู่กับ
- วงเงินกู้ – ยิ่งกู้มาก เบี้ยยิ่งสูง
- อายุผู้กู้ – อายุยิ่งมาก ค่าเบี้ยยิ่งแพง
- ระยะเวลาคุ้มครอง – เลือกคุ้มครองนาน ค่าเบี้ยก็สูงขึ้น
ตัวอย่างโดยประมาณ
- กู้ 2,000,000 บาท อายุ 30 ปี ทำ MRTA คุ้มครอง 20 ปี → เบี้ยอาจอยู่ราว 100,000–200,000 บาท
- ธนาคารบางแห่งอนุญาตให้บวกเบี้ย MRTA เข้ากับยอดกู้รวมได้ ไม่ต้องจ่ายก้อนเดียว
ข้อดีของ MRTA
- ปกป้องครอบครัวจากภาระหนี้
- บ้านเป็นของครอบครัวทันทีหากเกิดเหตุ
- สร้างความมั่นใจในการกู้ – บางธนาคารเสนออัตราดอกเบี้ยพิเศษหากซื้อ MRTA
- ลดความเสี่ยงธนาคาร – ทำให้โอกาสอนุมัติสินเชื่อสูงขึ้น
ข้อเสียหรือข้อควรระวังของ MRTA
- ค่าเบี้ยสูง – ต้องจ่ายเป็นเงินก้อนใหญ่ตั้งแต่แรก
- คุ้มครองเฉพาะหนี้บ้าน – ไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายอื่นของครอบครัว
- ไม่คืนเงิน – หากผ่อนหมดก่อนกำหนดหรือยกเลิกสัญญา จะไม่ได้รับเงินคืน
- คุ้มครองตามสัญญาเท่านั้น – ถ้าเลือกทำ 10 ปี แต่กู้ 30 ปี หลังครบ 10 ปีแรกจะไม่มีคุ้มครองต่อ
MRTA vs ประกันชีวิตทั่วไป
ประเภท | MRTA | ประกันชีวิตทั่วไป |
---|---|---|
วัตถุประสงค์ | คุ้มครองหนี้บ้าน | คุ้มครองชีวิตทั่วไป |
ระยะเวลา | 5–20 ปี | เลือกได้ตามแผน |
เบี้ยประกัน | จ่ายครั้งเดียว | จ่ายรายเดือน/รายปี |
ผลประโยชน์ | ชำระหนี้บ้านที่เหลือ | จ่ายเงินก้อนให้ครอบครัว |
ความยืดหยุ่น | จำกัดตามสัญญากู้ | ยืดหยุ่นตามแผนประกัน |
MRTA จำเป็นต้องทำไหม?
- ไม่บังคับตามกฎหมาย แต่บางธนาคารอาจเสนอเป็นเงื่อนไขควบคู่กับสินเชื่อ
- หากไม่ทำ MRTA อาจต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้น
- หากครอบครัวมีประกันชีวิตอื่นอยู่แล้ว อาจไม่จำเป็นต้องทำ MRTA
วิธีเลือก MRTA ให้คุ้มค่า
- เปรียบเทียบหลายบริษัทประกัน – ไม่จำเป็นต้องซื้อกับธนาคารที่ปล่อยกู้เสมอไป
- เลือกความคุ้มครองให้พอดี – หากกู้ 3 ล้านบาท อาจทำ MRTA แค่ 2 ล้านบาท ส่วนที่เหลือใช้ประกันชีวิตอื่นคุ้มครอง
- ตรวจสอบเงื่อนไขสัญญา – เช่น คุ้มครองกรณีทุพพลภาพถาวรหรือไม่
- วางแผนการเงิน – หากไม่พร้อมจ่ายเบี้ยก้อนใหญ่ อาจเลือกประกันชีวิตแบบรายปีแทน
ตัวอย่างสถานการณ์จริง
- กรณีทำ MRTA: นายเอกู้บ้าน 2 ล้านบาท ทำ MRTA คุ้มครอง 20 ปี หากเขาเสียชีวิตในปีที่ 10 บริษัทประกันจะชำระหนี้ที่เหลือทั้งหมด ครอบครัวได้บ้านโดยไม่ติดภาระหนี้
- กรณีไม่ทำ MRTA: หากนายบีเสียชีวิตระหว่างผ่อนบ้าน หนี้ที่เหลือจะตกเป็นภาระของครอบครัวทันที หากไม่สามารถผ่อนต่อ บ้านอาจถูกยึด
สรุป
MRTA คือประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน ที่ช่วยให้ครอบครัวไม่ต้องรับภาระหนี้หากผู้กู้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพ แม้จะมีค่าเบี้ยสูงและไม่ยืดหยุ่นเท่าประกันชีวิตทั่วไป แต่ก็เป็นเกราะป้องกันสำคัญที่ช่วยให้การกู้บ้านมั่นคงและปลอดภัยยิ่งขึ้น
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจทำ MRTA ควรพิจารณาจาก
- ภาระหนี้ที่กู้
- ประกันชีวิตที่มีอยู่แล้ว
- ความสามารถในการจ่ายเบี้ย
- เงื่อนไขดอกเบี้ยจากธนาคาร
การเลือกทำ MRTA อย่างเหมาะสมจะช่วยให้ทั้งคุณและครอบครัวอุ่นใจว่าบ้านที่กู้มาจะไม่กลายเป็นภาระในอนาคต