หนึ่งในคำศัพท์ที่คนกำลังจะซื้อบ้านมักได้ยินบ่อยจากธนาคารคือคำว่า MRR หรือ Minimum Retail Rate ซึ่งแม้จะดูเป็นศัพท์เทคนิค แต่ในความเป็นจริงมันคือ หัวใจของการคำนวณดอกเบี้ยเงินกู้บ้านแบบผันแปร ที่มีผลกับยอดผ่อนรายเดือนของคุณตลอดหลายสิบปี!
หากคุณไม่เข้าใจ MRR หรือมองข้ามมันไป อาจต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มโดยไม่รู้ตัวนับแสนถึงล้านบาทเลยทีเดียว
MRR คืออะไร?
MRR (Minimum Retail Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยขั้นต่ำ ที่ธนาคารใช้เป็น “ฐาน” ในการคำนวณดอกเบี้ยของสินเชื่อต่าง ๆ เช่น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อบุคคล และสินเชื่ออื่น ๆ ที่ไม่ได้ผูกกับบัญชีธุรกิจ
โดยทั่วไป MRR จะเป็น อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว (Floating Rate) ที่ธนาคารสามารถปรับขึ้นหรือลงได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น นโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย, สภาพเศรษฐกิจ หรือโครงสร้างต้นทุนของแต่ละธนาคาร
ตัวอย่างการใช้งานจริงของ MRR
เมื่อธนาคารโฆษณาโปรสินเชื่อบ้าน เช่น:
“ดอกเบี้ยปีที่ 1 = 1.99%, ปีที่ 2–3 = MRR – 2.00%, ปีที่ 4 เป็นต้นไป = MRR – 1.00%”
หาก MRR ปัจจุบันของธนาคารนั้นคือ 7.00%
- ปีที่ 2–3: ดอกเบี้ยที่คุณจะจ่าย = 5.00%
- ปีที่ 4 เป็นต้นไป: ดอกเบี้ย = 6.00%
หากวันหนึ่ง MRR ขึ้นเป็น 7.50% ดอกเบี้ยของคุณจะกลายเป็น 6.50% โดยอัตโนมัติ!
ความต่างระหว่าง MRR, MLR และ MOR
ประเภทอัตราดอกเบี้ย | กลุ่มลูกค้า | ใช้กับสินเชื่อประเภทใด |
---|---|---|
MRR (Minimum Retail Rate) | ลูกค้ารายย่อย | สินเชื่อบ้าน, สินเชื่อส่วนบุคคล |
MLR (Minimum Loan Rate) | ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี | สินเชื่อธุรกิจ SME |
MOR (Minimum Overdraft Rate) | ลูกค้าธุรกิจทั่วไป | สินเชื่อเบิกเกินบัญชี |
หมายเหตุ: ผู้ซื้อบ้านทั่วไปจะต้องให้ความสำคัญกับ “MRR” เป็นหลัก เพราะนั่นคือสิ่งที่ถูกใช้คำนวณดอกเบี้ยในสินเชื่อบ้านของคุณ
อัปเดตอัตรา MRR ล่าสุด (กลางปี 2568)
ธนาคาร | อัตรา MRR (%) |
---|---|
ธนาคารกรุงเทพ (BBL) | 6.875% |
ธนาคารกรุงไทย (KTB) | 6.75% |
ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) | 6.87% |
ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) | 7.025% |
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) | 7.12% |
ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) | 7.10% |
ธนาคารออมสิน | 6.625% |
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) | 6.40% (ต่ำกว่าตลาดในบางช่วง) |
คำเตือน: อัตรานี้อาจมีการปรับเปลี่ยนได้ทุกไตรมาส ควรเช็กกับธนาคารโดยตรงก่อนยื่นกู้
ทำไม MRR ถึงสำคัญกับคนกู้บ้าน?
- ดอกเบี้ยบ้านผันแปรตาม MRR
- เมื่อหมดโปรดอกเบี้ยคงที่ 1–3 ปีแรก ธนาคารจะเริ่มใช้อัตรา “MRR – ส่วนลด” เป็นดอกเบี้ยปกติ
- ยิ่ง MRR สูงเท่าไร ดอกเบี้ยจริงคุณก็สูงขึ้นด้วย
- กระทบยอดผ่อนรายเดือน
- ถ้า MRR ปรับขึ้น 0.50% ยอดผ่อนบ้าน 2 ล้านบาทอาจเพิ่มขึ้น 500–1,000 บาท/เดือน
- มีผลต่อการรีไฟแนนซ์
- ธนาคารใหม่อาจเสนอโปรโมชั่น “MRR – 2.50%” ซึ่งดูน่าสนใจ แต่หาก MRR ธนาคารนั้นสูงกว่าที่เดิม อาจไม่คุ้มค่า
เทคนิคเปรียบเทียบดอกเบี้ยที่มี MRR
อย่าดูแค่ “เปอร์เซ็นต์ดอกเบี้ย” แต่ควรดู MRR ร่วมด้วย เช่น:
ธนาคาร | ดอกเบี้ยโปร | MRR | ดอกเบี้ยปี 3 หลังโปรหมด |
---|---|---|---|
ธนาคาร A | MRR – 2.00% | 7.00% | 5.00% |
ธนาคาร B | MRR – 2.25% | 7.25% | 5.00% |
ธนาคาร C | MRR – 2.25% | 6.75% | 4.50% (ดีที่สุด) |
ธนาคาร C อาจให้ส่วนลดเท่าๆ กัน แต่เพราะมี MRR ต่ำกว่า คุณจึงจ่ายน้อยกว่าในระยะยาว
กลยุทธ์การใช้ MRR ให้เป็นประโยชน์
- ต่อรองดอกเบี้ยหลังโปรหมด: เจรจาให้ได้ “MRR – ส่วนลด” ที่ดีที่สุด (บางธนาคารลดได้มากกว่าในโฆษณา)
- เช็กอัตรา MRR ทุกไตรมาส: หาก MRR ขึ้นต่อเนื่อง พิจารณารีไฟแนนซ์ก่อนยอดผ่อนพุ่ง
- เลือกธนาคารที่ MRR ต่ำกว่า: ไม่ใช่แค่โปรโมชั่นดี แต่ “ฐานต่ำ” มีผลระยะยาวมากกว่า
สรุป
MRR เป็นหัวใจของการคำนวณดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านแบบลอยตัว การเข้าใจ MRR จะช่วยให้คุณ
- เลือกโปรโมชั่นบ้านได้อย่างชาญฉลาด
- คำนวณค่าใช้จ่ายผ่อนจริงได้แม่นยำ
- ตัดสินใจรีไฟแนนซ์ได้ถูกจังหวะ
- ประหยัดดอกเบี้ยในระยะยาวหลายแสนบาท
หากคุณวางแผนจะซื้อบ้านหรือรีไฟแนนซ์ในปี 2568–2569 อย่ามองข้าม MRR เพราะมันมีผลต่อกระเป๋าสตางค์คุณมากกว่าที่คิด