FAR ย่อมาจาก Floor Area Ratio หรือ อัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน เป็นหลักเกณฑ์ตามกฎหมายผังเมืองที่กำหนดว่า ที่ดินแต่ละแปลงสามารถก่อสร้างอาคารได้มากน้อยเพียงใด เพื่อควบคุมความหนาแน่น ปริมาณอาคาร และความสมดุลในการใช้พื้นที่เมือง
หลักการคำนวณ FAR
สูตรคือ:
FAR = พื้นที่อาคารรวม ÷ พื้นที่ที่ดิน
- หากที่ดินขนาด 1,000 ตารางเมตร และกฎหมายกำหนด FAR = 5
- จะสร้างอาคารรวมได้ 5,000 ตารางเมตร
ดังนั้น FAR มีผลโดยตรงต่อขนาด ความสูง และจำนวนชั้นของอาคารที่จะสร้างบนที่ดิน
ทำไมต้องมีกฎหมาย FAR
- ควบคุมความหนาแน่นของเมือง – หากไม่มีข้อจำกัด อาจเกิดอาคารแออัด การจราจรติดขัด และระบบสาธารณูปโภคไม่เพียงพอ
- ป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม – อาคารสูงเกินไปอาจบดบังแสงแดด ลม หรือทัศนียภาพ
- สร้างความเป็นระเบียบ – ให้เมืองมีโครงสร้างที่เหมาะสมกับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนและระบบระบายน้ำ
FAR มีผลต่อการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างไร
- คอนโดมิเนียม – พื้นที่ดินยิ่งใหญ่ FAR สูงยิ่งสามารถสร้างยูนิตได้มาก ทำให้โครงการคุ้มค่าลงทุน
- บ้านจัดสรร – กฎหมาย FAR ช่วยกำหนดความหนาแน่นไม่ให้หมู่บ้านแออัดเกินไป
- ตึกสำนักงาน – ต้องวางแผน FAR เพื่อให้ได้พื้นที่ใช้สอยเพียงพอกับความคุ้มทุน
FAR แตกต่างจาก OSR อย่างไร
- FAR: จำกัดพื้นที่อาคารรวมที่สร้างได้
- OSR (Open Space Ratio): จำกัดพื้นที่ว่างที่ต้องเว้นไว้ เช่น สวน พื้นที่สีเขียว
ทั้งสองตัวชี้วัดนี้ต้องใช้ร่วมกันในการออกแบบโครงการ เพื่อให้เมืองมีทั้งอาคารและพื้นที่ว่างที่สมดุล
ตัวอย่าง FAR ในพื้นที่ต่าง ๆ
- ใจกลางเมือง: มักมี FAR สูง เช่น 8–10 เพื่อรองรับตึกสูงและคอนโด
- ชานเมือง: มักกำหนด FAR ต่ำ เช่น 2–4 เพื่อรักษาความหนาแน่นไม่ให้เกินไป
- พื้นที่อนุรักษ์หรือชนบท: FAR ต่ำมาก เช่น 1–2 เพื่อจำกัดการพัฒนาอาคาร
ปัจจัยที่กำหนดค่า FAR
- ทำเลที่ตั้ง – เขตเศรษฐกิจจะมี FAR สูงกว่าพื้นที่พักอาศัย
- โครงสร้างพื้นฐาน – หากมีถนนใหญ่ รถไฟฟ้า หรือระบบสาธารณูปโภคครบ จะรองรับ FAR สูง
- นโยบายการพัฒนาเมือง – แต่ละจังหวัดหรือเขตอาจกำหนด FAR ต่างกันตามทิศทางการเติบโต
ข้อดีและข้อเสียของระบบ FAR
ข้อดี
- ทำให้เมืองเป็นระเบียบ
- ป้องกันปัญหาการจราจรและสิ่งแวดล้อม
- ส่งเสริมให้ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า
ข้อเสีย
- อาจทำให้ราคาที่ดินในพื้นที่ FAR สูงพุ่งสูงขึ้น
- ผู้พัฒนาต้องแบกรับต้นทุนมากขึ้นหากต้องการสร้างอาคารใหญ่
- บางครั้งไม่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่
เคล็ดลับสำหรับนักลงทุนและผู้ซื้ออสังหาฯ
- ตรวจสอบค่า FAR ก่อนซื้อที่ดิน เพื่อรู้ว่าใช้ประโยชน์ได้มากแค่ไหน
- เปรียบเทียบ FAR กับราคาที่ดิน หาก FAR สูง ราคาที่ดินแพงขึ้น แต่ก็คุ้มค่าสำหรับการสร้างโครงการใหญ่
- ติดตามการปรับผังเมือง เพราะเมื่อ FAR เปลี่ยน มูลค่าที่ดินอาจเปลี่ยนทันที
FAR กับอนาคตเมืองไทย
เมื่อระบบขนส่งมวลชน เช่น รถไฟฟ้า ขยายตัว รัฐมักปรับค่า FAR บริเวณสถานีให้สูงขึ้น เพื่อกระตุ้นการพัฒนาอสังหาฯ แนวราง สิ่งนี้สะท้อนว่า FAR เป็น เครื่องมือวางผังเมืองเชิงยุทธศาสตร์ ที่ส่งผลโดยตรงต่อรูปแบบเมืองในอนาคต
สรุป
FAR (Floor Area Ratio) คือกฎหมายกำหนดอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อที่ดิน เป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ นักลงทุน และแม้แต่ผู้ซื้อบ้านต้องเข้าใจ เพราะมีผลต่อความหนาแน่น ทำเล ศักยภาพการพัฒนา และราคาที่ดิน การรู้จักและเข้าใจ FAR จึงเป็นกุญแจสำคัญในการตัดสินใจด้านอสังหาฯ