ดอกเบี้ยบ้านคืออะไร? เข้าใจให้ชัด ก่อนตัดสินใจกู้บ้านปี 2568 

ดอกเบี้ยบ้าน

สำหรับใครที่กำลังวางแผนซื้อบ้านหรือคอนโดในปี 2568 คำว่า “ดอกเบี้ยบ้าน” คือสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจให้ดี เพราะแม้จะดูเหมือนเป็นเพียงตัวเลขเล็ก ๆ ต่อปี แต่ดอกเบี้ยบ้านมีผลโดยตรงต่อจำนวนเงินที่คุณต้องจ่ายจริงในแต่ละเดือน รวมถึงยอดเงินที่คุณจะต้องผ่อนทั้งหมดตลอดอายุสัญญากู้ที่อาจยาวนานถึง 30 ปี

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ “ดอกเบี้ยบ้าน” อย่างละเอียดที่สุด ตั้งแต่ความหมาย ประเภท วิธีคิด ไปจนถึงกลยุทธ์เลือกดอกเบี้ยให้คุ้มที่สุดในปี 2568

ดอกเบี้ยบ้าน คืออะไร?

ดอกเบี้ยบ้าน คือค่าตอบแทนที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินเรียกเก็บจากผู้กู้ ในการให้ยืมเงินเพื่อซื้อบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์ โดยจะคำนวณเป็น “อัตราร้อยละต่อปี” ของยอดเงินกู้

ตัวอย่างเช่น:

หากคุณกู้เงิน 2,000,000 บาท และอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 4% ต่อปี เท่ากับคุณต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละ 80,000 บาท หรือประมาณ 6,666 บาท/เดือน (ยังไม่รวมเงินต้น)

ดอกเบี้ยจึงเป็นต้นทุนหลักที่คุณควรให้ความสำคัญ และมีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อ ยอดผ่อนรายเดือน และภาระการเงินในระยะยาว

ประเภทของดอกเบี้ยบ้าน (ที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ)

ดอกเบี้ยบ้านในประเทศไทยโดยทั่วไปมีอยู่ 3 รูปแบบหลัก:

1. ดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate)

  • เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ “คงที่” ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาที่กำหนด เช่น 1 ปี 3 ปี
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นใจว่า “ผ่อนเท่าเดิม” ทุกเดือน
  • ข้อเสียคือ เมื่อครบกำหนด ดอกเบี้ยจะเปลี่ยนเป็นแบบลอยตัวซึ่งมักสูงกว่าเดิม

ตัวอย่าง:

ปี 1–3 ดอกเบี้ย 2.29% หลังจากนั้นเป็น MRR – 0.75%

2. ดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate)

  • อัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงได้ตามภาวะตลาดและอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
  • ธนาคารมักอ้างอิงอัตรา MRR (Minimum Retail Rate), MLR (Minimum Lending Rate) หรือ THOR (Thai Overnight Repurchase Rate)
  • มีความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น
  • เหมาะกับผู้ที่มีรายได้สูงและสามารถจัดการภาระหนี้ได้แม้ดอกเบี้ยสูงขึ้น

3. ดอกเบี้ยแบบผสม (Fixed + Floating)

  • ช่วงแรกคงที่ หลังจากนั้นเป็นลอยตัว
  • เป็นรูปแบบที่ธนาคารส่วนใหญ่นิยมใช้ในโปรโมชัน

อัตราดอกเบี้ยบ้าน ปี 2568 (แนวโน้มล่าสุด)

ณ ปี 2568 ภายหลังจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและธนาคารแห่งประเทศไทยคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับ สูงปานกลางดอกเบี้ยบ้านของแต่ละธนาคารจะใกล้เคียงกัน ดังนี้:

ธนาคารดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกหลังหมดโปร (ลอยตัว)อัตรา MRR ล่าสุด
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)1.99%MRR – 1.00%6.15%
ธนาคารกรุงเทพ2.70%MLR – 1.00%6.65%
กรุงไทย2.50%MRR – 0.75%6.65%
กสิกรไทย2.60%MRR – 0.75%6.87%
SCB (ไทยพาณิชย์)2.39%MRR – 0.50%6.55%
กรุงศรี2.89%MRR – 0.75%6.80%

หมายเหตุ:

  • ตัวเลขอาจเปลี่ยนตามโปรโมชั่นประจำเดือน
  • ผู้ที่มีเครดิตดี รายได้มั่นคง และอาชีพเฉพาะ เช่น ข้าราชการ หรือแพทย์ อาจได้อัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ

ดอกเบี้ยบ้านคิดยังไง?

ธนาคารส่วนใหญ่ใช้ วิธีคิดแบบลดต้นลดดอก (ลดลงทุกเดือนตามเงินต้นที่เหลือ)

ตัวอย่าง:

  • กู้เงิน: 2,000,000 บาท
  • ดอกเบี้ย: 3.00%
  • ระยะเวลาผ่อน: 30 ปี (360 เดือน)
  • ค่างวดประมาณ: 8,400 บาท/เดือนในช่วงแรก

เดือนแรกจ่ายดอกเบี้ยประมาณ 5,000 บาท เงินต้น 3,400 บาท
เดือนต่อไปดอกเบี้ยลดลงเล็กน้อย เงินต้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

เลือกดอกเบี้ยบ้านแบบไหนดี?

ขึ้นอยู่กับแผนการเงินและไลฟ์สไตล์ของคุณ โดยพิจารณาจาก:

  • รายได้มั่นคงหรือไม่?
  • วางแผนรีไฟแนนซ์ใน 3–5 ปี หรือไม่?
  • รับความเสี่ยงจากดอกเบี้ยลอยตัวได้แค่ไหน?

คำแนะนำ:

  • หากคุณยังไม่มั่นใจเรื่องรายได้ เลือกแบบ “คงที่” จะปลอดภัยกว่า
  • หากคุณตั้งใจรีไฟแนนซ์เร็ว ให้เลือกโปรที่ “ดอกเบี้ยต่ำใน 3 ปีแรก”
  • ตรวจสอบ “Effective Rate” ทั้งหมด 10–30 ปี ไม่ดูแค่ดอกเบี้ยปีแรก

รีไฟแนนซ์บ้านช่วยลดดอกเบี้ยได้จริงไหม?

ได้แน่นอน!
โดยเฉพาะหลังหมดโปร 3 ปีแรก ดอกเบี้ยมักพุ่งสูง หากคุณรีไฟแนนซ์ไปธนาคารใหม่พร้อมขออัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิม อาจลดภาระรายเดือนลงได้มาก

ตัวอย่าง:

ผ่อนบ้านเดิม 12,000 บาท/เดือน
รีไฟแนนซ์ใหม่เหลือเพียง 9,500 บาท/เดือน
ประหยัดรวมได้หลักแสนถึงล้านบาทในระยะยาว

ข้อควรรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับดอกเบี้ยบ้าน

  • ตรวจสอบค่าธรรมเนียมแฝง เช่น ค่าประเมิน ค่าจดจำนอง ค่าประกัน
  • เลือกกู้ร่วมถ้ารายได้ไม่พอ ยอดกู้จะได้สูงขึ้น
  • อย่ากู้ “จนเต็มเพดาน” ควรมีสำรองเผื่อฉุกเฉิน
  • ธนาคารสามารถปรับอัตราดอกเบี้ยได้ตามประกาศ BOT (Bank of Thailand)

ดอกเบี้ยบ้านไม่ใช่แค่ตัวเลขเล็ก ๆ

  • ดอกเบี้ยคือหัวใจของการกู้ซื้อบ้าน เพราะส่งผลโดยตรงต่อภาระผ่อน
  • ปี 2568 ดอกเบี้ยมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูงปานกลาง
  • เลือกโปรที่เหมาะกับสไตล์การใช้ชีวิตของคุณ และวางแผนรีไฟแนนซ์ให้ดี
  • หากเข้าใจโครงสร้างดอกเบี้ยและรู้จักเปรียบเทียบให้รอบด้าน คุณอาจประหยัดเงินได้มากกว่าที่คิด

Share the Post: