ในวงการอสังหาริมทรัพย์ เรามักจะได้ยินคำว่า “Leasehold” และ “Freehold” อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในโครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียมหรืออสังหาฯ ที่มีที่ดินของรัฐหรือเอกชนรายใหญ่เป็นเจ้าของ แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจชัดเจนว่า “Leasehold” คืออะไร และแตกต่างจากการถือครองแบบปกติอย่างไร บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจระบบนี้อย่างละเอียด เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้นก่อนการลงทุน
🔹 Leasehold คืออะไร?
Leasehold (ลิสโฮลด์) คือ สิทธิการเช่าที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ระยะยาว ซึ่งผู้เช่าจะมีสิทธิในการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินนั้นตามระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา (โดยทั่วไปมักอยู่ที่ 30 ปี และต่อสัญญาได้ตามข้อตกลง)
เมื่อครบกำหนดระยะเวลาสัญญา สิทธิในทรัพย์สินจะกลับคืนสู่เจ้าของที่ดิน (ผู้ให้เช่า) โดยผู้เช่าจะไม่สามารถถือครองหรือขายต่อสิทธินั้นได้อีก เว้นแต่จะมีการต่อสัญญาใหม่
ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อคอนโดในโครงการที่เป็น Leasehold คุณจะได้สิทธิในการอยู่อาศัยและใช้พื้นที่นั้นตามระยะเวลาที่กำหนด เช่น 30 ปี หลังจากนั้นกรรมสิทธิ์จะกลับไปเป็นของเจ้าของที่ดิน
🔹 ต่างจาก Freehold อย่างไร?
ประเด็น | Leasehold | Freehold |
---|---|---|
สิทธิครอบครอง | เช่าระยะยาว มีอายุสัญญา | ถือครองกรรมสิทธิ์เต็มรูปแบบ |
ระยะเวลา | ปกติ 30 ปี (บางกรณีต่อได้ถึง 90 ปี) | ไม่มีหมดอายุ |
การขายต่อ | ทำได้แต่ต้องอยู่ในกรอบสัญญาเช่า | ขายโอนได้อิสระ |
ราคาซื้อ | ถูกกว่า Freehold | แพงกว่าเพราะถือครองเต็มสิทธิ์ |
เหมาะกับใคร | นักลงทุนระยะกลาง / ผู้ต้องการอยู่ชั่วคราว | ผู้ที่ต้องการถือครองระยะยาว / ส่งต่อเป็นมรดก |
🔹 เหตุผลที่มีระบบ Leasehold
ระบบ Leasehold มักถูกใช้ในกรณีที่ที่ดินนั้น ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ เช่น
- ที่ดินราชพัสดุ
- ที่ดินวัด
- ที่ดินของสถาบันการศึกษา
- หรือที่ดินเอกชนรายใหญ่ที่ต้องการรักษาทรัพย์สินไว้
เจ้าของที่ดินเหล่านี้จะเปิดให้เช่าในระยะยาว เพื่อสร้างรายได้จากค่าเช่าแทนการขายขาด
🔹 ข้อดีของการซื้ออสังหาฯ แบบ Leasehold
- 💰 ราคาถูกกว่า Freehold มาก — ทำให้เข้าถึงโครงการหรูหรือทำเลทองได้ง่ายกว่า
- 🏙️ ได้อยู่ในทำเลพรีเมียม — หลายโครงการ Leasehold ตั้งอยู่ในย่านศูนย์กลาง เช่น สุขุมวิท สีลม สยาม
- 📈 เหมาะกับการลงทุนระยะกลาง — ให้ผลตอบแทนค่าเช่าได้ดีในช่วงระยะเวลา 20–30 ปี
- 🧾 ไม่ต้องแบกรับภาระภาษีที่ดินระยะยาว — เพราะสิทธิจะหมดลงตามระยะเวลาเช่า
🔹 ข้อเสียของ Leasehold ที่ควรระวัง
- ⏳ สิทธิมีอายุจำกัด — เมื่อครบสัญญา สิทธิในการถือครองจะหมดทันที
- 💸 ไม่สามารถส่งต่อเป็นมรดกได้ — เว้นแต่จะอยู่ในช่วงสัญญาเท่านั้น
- 🔒 ขายต่อยากกว่า — ผู้ซื้อต่อจะได้รับสิทธิเพียงเวลาที่เหลืออยู่ในสัญญา
- 🏗️ อาจมีข้อจำกัดในการปรับปรุงทรัพย์สิน — ต้องขออนุญาตจากเจ้าของที่ดิน
🔹 โครงการตัวอย่างที่เป็น Leasehold ในไทย
หลายโครงการหรูในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในทำเลใจกลางเมือง เช่น ราชดำริ สยาม เพลินจิต มักใช้ระบบ Leasehold เนื่องจากที่ดินอยู่ในความครอบครองของหน่วยงานรัฐหรือบริษัทใหญ่ เช่น
- Magnolias Ratchadamri Boulevard
- Sindhorn Village Langsuan
- One Bangkok (บางอาคารเป็น Leasehold)
- โครงการในที่ดินสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
🔹 ผู้ซื้อควรตรวจสอบอะไรบ้างก่อนลงทุนในอสังหาฯ Leasehold
- 📜 อายุสัญญาเช่าที่เหลืออยู่ — ยิ่งเหลือเวลาน้อย มูลค่าก็ลดลง
- 🧾 เงื่อนไขการต่อสัญญา — ตรวจสอบว่าต่อได้จริงหรือขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเจ้าของที่ดิน
- 💼 ชื่อผู้ถือสิทธิ์ — ควรเป็นนิติบุคคลที่น่าเชื่อถือ
- 🏗️ สิทธิในการใช้พื้นที่ส่วนกลาง — บางโครงการจำกัดสิทธิของผู้เช่า
- 💰 ผลตอบแทนการลงทุน (ROI) — พิจารณาว่าราคาซื้อและค่าเช่าให้ผลตอบแทนคุ้มค่าหรือไม่
🔹 Leasehold เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่ต้องการ อยู่อาศัยในทำเลพรีเมียม แต่มีงบจำกัด
- นักลงทุนที่เน้น ผลตอบแทนค่าเช่าระยะกลาง (20–30 ปี)
- ผู้บริหาร / ชาวต่างชาติที่อยู่ไทยชั่วคราว
- ผู้ที่ไม่ต้องการภาระระยะยาวในการถือครองอสังหาฯ
🔹 สรุป: Leasehold ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากเข้าใจระบบให้ดี
แม้ว่า “Leasehold” จะฟังดูเหมือนการถือครองที่มีข้อจำกัด แต่แท้จริงแล้ว หากเข้าใจหลักการและวางแผนให้ถูกต้อง ก็สามารถเป็น ทางเลือกการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีและความคุ้มค่าทางทำเล ได้เช่นกัน
หากคุณมองหาโครงการที่ให้ความหรูหราในราคาที่เข้าถึงได้ และไม่จำเป็นต้องถือครองตลอดชีวิต โครงการแบบ Leasehold อาจเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ