คำว่า “Subprime” มาจากคำว่า Sub แปลว่า “ต่ำกว่า” และ Prime แปลว่า “มาตรฐาน” หรือ “คุณภาพดี”
ดังนั้น “Subprime” จึงหมายถึง สินเชื่อที่ให้กับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง หรือผู้กู้ที่มีประวัติทางการเงินไม่ดีพอ เช่น เคยค้างชำระหนี้ มีรายได้ไม่มั่นคง หรือมีเครดิตสกอร์ต่ำ
ในระบบการเงินทั่วไป ธนาคารมักปล่อยกู้ให้กับคนที่มีความสามารถในการชำระหนี้สูง เพราะมีโอกาสผิดนัดชำระต่ำ แต่ในกรณีของสินเชื่อ Subprime ธนาคารหรือสถาบันการเงินยอมรับความเสี่ยงที่มากขึ้น เพื่อแลกกับผลตอบแทนที่สูงกว่า เช่น คิดอัตราดอกเบี้ยแพงกว่าสินเชื่อปกติ
จุดเริ่มต้นของสินเชื่อ Subprime
ในช่วงปี 1990–2000 ประเทศสหรัฐอเมริกามีการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างรวดเร็ว ราคาบ้านพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธนาคารและสถาบันการเงินจึงเริ่มปล่อยกู้ให้คนที่อยากมีบ้าน แม้จะมีเครดิตไม่ดี
สินเชื่อเหล่านี้ถูกจัดอยู่ในหมวด Subprime Mortgage หรือ “สินเชื่อบ้านสำหรับลูกหนี้คุณภาพต่ำ” ซึ่งต่างจากสินเชื่อ Prime ที่ให้กับคนที่มีรายได้มั่นคงและเครดิตดี
ลักษณะของสินเชื่อ Subprime
- ดอกเบี้ยสูงกว่าปกติ เพื่อชดเชยความเสี่ยงของผู้กู้
- เงื่อนไขผ่อนชำระผ่อนคลาย ทำให้คนที่รายได้ไม่มั่นคงสามารถกู้ได้
- ไม่มีหลักประกันที่มั่นคง หรือมีการประเมินทรัพย์สินเกินจริง
- นิยมในสินเชื่อที่อยู่อาศัย เพราะบ้านสามารถนำไปค้ำประกันได้
ทำไม Subprime ถึงกลายเป็นปัญหา
ในช่วงแรก ธนาคารมองว่าสินเชื่อ Subprime เป็นโอกาสทางธุรกิจ เพราะสามารถเก็บดอกเบี้ยสูงและดูเหมือนว่าราคาบ้านจะไม่มีวันตก แต่เมื่อถึงปี 2007–2008 ราคาบ้านในสหรัฐเริ่มลดลง ผู้กู้จำนวนมากไม่สามารถผ่อนบ้านได้อีกต่อไป
บ้านที่ถูกยึดออกมาขายมีมากจนล้นตลาด ทำให้ราคาบ้านตกลงอย่างรุนแรง ธนาคารไม่สามารถขายบ้านคืนทุนได้ กลายเป็นปัญหาลูกโซ่ทางการเงิน
วิกฤต Subprime ปี 2008: วิกฤตการเงินโลก
เมื่อราคาบ้านร่วงลง สินเชื่อ Subprime กลายเป็นหนี้เสียจำนวนมหาศาล บริษัทการเงินและธนาคารขนาดใหญ่หลายแห่งในสหรัฐฯ ล้มละลาย เช่น
- Lehman Brothers
- Bear Stearns
- Washington Mutual
ส่งผลให้เกิด “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” (Hamburger Crisis) ซึ่งกระทบไปทั่วโลก ตลาดหุ้นร่วงหนัก เศรษฐกิจสหรัฐถดถอย และระบบการเงินโลกต้องได้รับการอัดฉีดจากรัฐบาลเพื่อรักษาเสถียรภาพ
กลไกที่ทำให้วิกฤตรุนแรง
หนึ่งในสาเหตุที่วิกฤต Subprime ลุกลามไปทั่วโลก คือ การแปลงสินเชื่อเป็นหลักทรัพย์ (Securitization)
ธนาคารนำสินเชื่อบ้านจำนวนมากมารวมกัน แล้วขายต่อให้กับนักลงทุนในรูปแบบพันธบัตร เรียกว่า Mortgage-Backed Securities (MBS)
นักลงทุนทั่วโลกซื้อพันธบัตรเหล่านี้เพราะคิดว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่เมื่อคนจำนวนมากเริ่มผิดนัดชำระหนี้ มูลค่าของพันธบัตรเหล่านี้ก็กลายเป็นศูนย์ ทำให้สถาบันการเงินทั่วโลกขาดทุนมหาศาล
บทเรียนจากวิกฤต Subprime
- ไม่ควรประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป
สินเชื่อที่ดูเหมือนสร้างผลตอบแทนสูง มักแฝงความเสี่ยงไว้เสมอ - ราคาทรัพย์สินไม่มีวันขึ้นตลอดไป
บ้านหรืออสังหาริมทรัพย์อาจมีช่วงเวลาที่ราคาตกลงได้ - การลงทุนต้องกระจายความเสี่ยง
ไม่ควรทุ่มเงินไว้ในสินทรัพย์ประเภทเดียว เช่น พันธบัตรอสังหาฯ - เครดิตและความสามารถในการชำระหนี้สำคัญที่สุด
ระบบสินเชื่อที่มั่นคงต้องอิงจากผู้กู้ที่มีศักยภาพจริง
สถานการณ์ Subprime ในประเทศไทย
แม้ประเทศไทยไม่เกิดวิกฤตรุนแรงเท่าสหรัฐฯ แต่แนวคิดเรื่อง สินเชื่อเสี่ยงสูง ก็มีในหลายรูปแบบ เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบัตรเครดิต หรือสินเชื่อรถแลกเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงกำหนดกฎเกณฑ์ชัดเจน เช่น
- ตรวจสอบความสามารถในการชำระหนี้ (Debt Service Ratio)
- จำกัดวงเงินสินเชื่อตามรายได้
- กำหนดเกณฑ์ Loan to Value (LTV) สำหรับสินเชื่อบ้าน
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด “ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์” แบบเดียวกับที่สหรัฐฯ เคยเผชิญ
ตัวอย่าง Subprime ในชีวิตประจำวัน
- กู้ซื้อบ้านหรือรถเกินกำลังผ่อน
- ใช้บัตรเครดิตเต็มวงเงินแต่ชำระขั้นต่ำ
- กู้ยืมหลายบัญชีโดยไม่มีรายได้แน่นอน
- ลงทุนโดยไม่ประเมินความเสี่ยง
ทั้งหมดนี้อาจดูไม่ใหญ่โต แต่หากสะสมมากในระบบเศรษฐกิจ ก็สามารถกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้เช่นกัน
สรุป
Subprime คือสินเชื่อสำหรับผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งหากบริหารจัดการอย่างไม่ระมัดระวัง อาจนำไปสู่การเกิดหนี้เสียและปัญหาเศรษฐกิจขนาดใหญ่เหมือนที่โลกเคยเจอในปี 2008
บทเรียนสำคัญคือ “ผลตอบแทนสูงมักมาพร้อมความเสี่ยงสูง” และระบบการเงินที่ยั่งยืนต้องสร้างบนพื้นฐานของความโปร่งใสและความรับผิดชอบทั้งจากผู้กู้และผู้ให้กู้