Subprime คืออะไร? ทำไมถึงเป็นต้นเหตุวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ของโลก

Subprime คืออะไร

คำว่า “Subprime” มาจากคำว่า Sub แปลว่า “ต่ำกว่า” และ Prime แปลว่า “มาตรฐาน” หรือ “คุณภาพดี”
ดังนั้น “Subprime” จึงหมายถึง สินเชื่อที่ให้กับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง หรือผู้กู้ที่มีประวัติทางการเงินไม่ดีพอ เช่น เคยค้างชำระหนี้ มีรายได้ไม่มั่นคง หรือมีเครดิตสกอร์ต่ำ

ในระบบการเงินทั่วไป ธนาคารมักปล่อยกู้ให้กับคนที่มีความสามารถในการชำระหนี้สูง เพราะมีโอกาสผิดนัดชำระต่ำ แต่ในกรณีของสินเชื่อ Subprime ธนาคารหรือสถาบันการเงินยอมรับความเสี่ยงที่มากขึ้น เพื่อแลกกับผลตอบแทนที่สูงกว่า เช่น คิดอัตราดอกเบี้ยแพงกว่าสินเชื่อปกติ

จุดเริ่มต้นของสินเชื่อ Subprime

ในช่วงปี 1990–2000 ประเทศสหรัฐอเมริกามีการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างรวดเร็ว ราคาบ้านพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธนาคารและสถาบันการเงินจึงเริ่มปล่อยกู้ให้คนที่อยากมีบ้าน แม้จะมีเครดิตไม่ดี

สินเชื่อเหล่านี้ถูกจัดอยู่ในหมวด Subprime Mortgage หรือ “สินเชื่อบ้านสำหรับลูกหนี้คุณภาพต่ำ” ซึ่งต่างจากสินเชื่อ Prime ที่ให้กับคนที่มีรายได้มั่นคงและเครดิตดี

ลักษณะของสินเชื่อ Subprime

  1. ดอกเบี้ยสูงกว่าปกติ เพื่อชดเชยความเสี่ยงของผู้กู้
  2. เงื่อนไขผ่อนชำระผ่อนคลาย ทำให้คนที่รายได้ไม่มั่นคงสามารถกู้ได้
  3. ไม่มีหลักประกันที่มั่นคง หรือมีการประเมินทรัพย์สินเกินจริง
  4. นิยมในสินเชื่อที่อยู่อาศัย เพราะบ้านสามารถนำไปค้ำประกันได้

ทำไม Subprime ถึงกลายเป็นปัญหา

ในช่วงแรก ธนาคารมองว่าสินเชื่อ Subprime เป็นโอกาสทางธุรกิจ เพราะสามารถเก็บดอกเบี้ยสูงและดูเหมือนว่าราคาบ้านจะไม่มีวันตก แต่เมื่อถึงปี 2007–2008 ราคาบ้านในสหรัฐเริ่มลดลง ผู้กู้จำนวนมากไม่สามารถผ่อนบ้านได้อีกต่อไป

บ้านที่ถูกยึดออกมาขายมีมากจนล้นตลาด ทำให้ราคาบ้านตกลงอย่างรุนแรง ธนาคารไม่สามารถขายบ้านคืนทุนได้ กลายเป็นปัญหาลูกโซ่ทางการเงิน

วิกฤต Subprime ปี 2008: วิกฤตการเงินโลก

เมื่อราคาบ้านร่วงลง สินเชื่อ Subprime กลายเป็นหนี้เสียจำนวนมหาศาล บริษัทการเงินและธนาคารขนาดใหญ่หลายแห่งในสหรัฐฯ ล้มละลาย เช่น

  • Lehman Brothers
  • Bear Stearns
  • Washington Mutual

ส่งผลให้เกิด “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” (Hamburger Crisis) ซึ่งกระทบไปทั่วโลก ตลาดหุ้นร่วงหนัก เศรษฐกิจสหรัฐถดถอย และระบบการเงินโลกต้องได้รับการอัดฉีดจากรัฐบาลเพื่อรักษาเสถียรภาพ

กลไกที่ทำให้วิกฤตรุนแรง

หนึ่งในสาเหตุที่วิกฤต Subprime ลุกลามไปทั่วโลก คือ การแปลงสินเชื่อเป็นหลักทรัพย์ (Securitization)

ธนาคารนำสินเชื่อบ้านจำนวนมากมารวมกัน แล้วขายต่อให้กับนักลงทุนในรูปแบบพันธบัตร เรียกว่า Mortgage-Backed Securities (MBS)

นักลงทุนทั่วโลกซื้อพันธบัตรเหล่านี้เพราะคิดว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่เมื่อคนจำนวนมากเริ่มผิดนัดชำระหนี้ มูลค่าของพันธบัตรเหล่านี้ก็กลายเป็นศูนย์ ทำให้สถาบันการเงินทั่วโลกขาดทุนมหาศาล

บทเรียนจากวิกฤต Subprime

  1. ไม่ควรประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป
    สินเชื่อที่ดูเหมือนสร้างผลตอบแทนสูง มักแฝงความเสี่ยงไว้เสมอ
  2. ราคาทรัพย์สินไม่มีวันขึ้นตลอดไป
    บ้านหรืออสังหาริมทรัพย์อาจมีช่วงเวลาที่ราคาตกลงได้
  3. การลงทุนต้องกระจายความเสี่ยง
    ไม่ควรทุ่มเงินไว้ในสินทรัพย์ประเภทเดียว เช่น พันธบัตรอสังหาฯ
  4. เครดิตและความสามารถในการชำระหนี้สำคัญที่สุด
    ระบบสินเชื่อที่มั่นคงต้องอิงจากผู้กู้ที่มีศักยภาพจริง

สถานการณ์ Subprime ในประเทศไทย

แม้ประเทศไทยไม่เกิดวิกฤตรุนแรงเท่าสหรัฐฯ แต่แนวคิดเรื่อง สินเชื่อเสี่ยงสูง ก็มีในหลายรูปแบบ เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบัตรเครดิต หรือสินเชื่อรถแลกเงิน

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงกำหนดกฎเกณฑ์ชัดเจน เช่น

  • ตรวจสอบความสามารถในการชำระหนี้ (Debt Service Ratio)
  • จำกัดวงเงินสินเชื่อตามรายได้
  • กำหนดเกณฑ์ Loan to Value (LTV) สำหรับสินเชื่อบ้าน

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด “ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์” แบบเดียวกับที่สหรัฐฯ เคยเผชิญ

ตัวอย่าง Subprime ในชีวิตประจำวัน

  • กู้ซื้อบ้านหรือรถเกินกำลังผ่อน
  • ใช้บัตรเครดิตเต็มวงเงินแต่ชำระขั้นต่ำ
  • กู้ยืมหลายบัญชีโดยไม่มีรายได้แน่นอน
  • ลงทุนโดยไม่ประเมินความเสี่ยง

ทั้งหมดนี้อาจดูไม่ใหญ่โต แต่หากสะสมมากในระบบเศรษฐกิจ ก็สามารถกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้เช่นกัน

สรุป

Subprime คือสินเชื่อสำหรับผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งหากบริหารจัดการอย่างไม่ระมัดระวัง อาจนำไปสู่การเกิดหนี้เสียและปัญหาเศรษฐกิจขนาดใหญ่เหมือนที่โลกเคยเจอในปี 2008
บทเรียนสำคัญคือ “ผลตอบแทนสูงมักมาพร้อมความเสี่ยงสูง” และระบบการเงินที่ยั่งยืนต้องสร้างบนพื้นฐานของความโปร่งใสและความรับผิดชอบทั้งจากผู้กู้และผู้ให้กู้

Share the Post:

รีวิวคอนโด อุดมสุข

รีวิวบ้าน อุดมสุข

อัพเดตล่าสุด