ความเป็นมาและแนวคิดของเสาไฟฟ้าแรงสูง
ในโลกยุคปัจจุบัน ระบบไฟฟ้าแรงสูงมีบทบาทสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรม เมือง บริการสาธารณะ และประชาชนทั่วไป เสาไฟฟ้าแรงสูงเปรียบเสมือน “เส้นเลือดใหญ่” ของระบบไฟฟ้าที่ช่วยส่งพลังงานจากโรงไฟฟ้าไปยังสถานีไฟฟ้าย่อย สู่พื้นที่ใช้งานต่างๆ หากระบบนี้ขาดไป เมืองใหญ่จะไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ
เสาไฟฟ้าแรงสูงแบ่งตามแรงดันไฟฟ้า (KV = กิโลโวลต์) เช่น 115 kV, 230 kV, 500 kV และแม้แต่ 750 หรือ 1150 kV ในบางประเทศ เสาไฟฟ้าเหล่านี้ต้องการการติดตั้งที่แม่นยำและการบำรุงรักษาระบบเฉพาะ เพื่อให้การจ่ายไฟมีเสถียรภาพและปลอดภัย
ประเภทของเสาไฟฟ้าแรงสูง
- เสาเหล็กโครงถัก (Lattice Tower)
เป็นเสาไฟฟ้าแรงสูงประเภทดั้งเดิม นิยมใช้ในพื้นที่เปิดโล่ง เหมาะกับแรงดันไฟฟ้าระหว่าง 115–500 kV ออกแบบให้แข็งแรง รองรับแรงลมแรงและถนัดต่อการติดตั้งสายส่งหลายสายในเสาเดียว - เสาคอนกรีตหรือเสาหล่อ (Concrete or Tubular Pole)
มักใช้ในระบบไฟฟ้าแรงต่ำถึงกลาง (เช่น สาย 33 kV หรือ 69 kV) ใช้ได้ในพื้นที่ชุมชนหนาแน่นที่ไม่สามารถติดตั้งเสาเหล็กใหญ่ได้ เนื่องจากพื้นที่จำกัด - เสาโค้ง (Guyed V‐Tower)
ใช้ในเส้นทางที่แรงดันสูง และต้องลดต้นทุนเสาโดยไม่กระทบความมั่นคง เสาประเภทนี้มีการเสริมเชือกดึง (guy wire) เพื่อช่วยรับแรง - เสาใต้ดิน (Underground Cable System)
แม้ไม่ใช่เสาแบบยืนเหนือพื้น แต่ถือเป็นทางเลือกของสายไฟแรงสูงที่ใช้ในเมืองใหญ่มากขึ้น เพื่อลดผลกระทบด้านทัศนียภาพและความปลอดภัยในพื้นที่ชุมชน
หน้าที่หลักของเสาไฟฟ้าแรงสูง
- ส่งพลังงานไฟฟ้าระยะไกล จากโรงไฟฟ้าสู่สถานีย่อย
- เชื่อมต่อระบบไฟฟ้าหลายสถานี เพื่อสำรองพลังงานในกรณีฉุกเฉิน
- สนับสนุนนคร/อุตสาหกรรม ด้วยกำลังไฟฟ้าไม่ขาดตอน
ผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม
ภาพทางทัศนียภาพ
เสาไฟฟ้าแรงสูงที่สูงและท่าอากาศแบบแตกต่างอาจเป็นสิ่งที่ไม่สวยงาม และในบางกรณีทำให้มูลค่าที่ดินใกล้เคียงลดลง
เสียงและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
- บางกรณีเสาแรงสูงอาจเกิดเสียงฮัม (Corona Noise) เมื่ออากาศเปียกหรือมีฝน ทำให้รบกวนบรรยากาศรอบๆ
- คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMF) จากสายส่งอาจถูกตั้งคำถามว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แม้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ทั่วไปยังไม่ยืนยันแน่นอน แต่ก็มักมีการออกมาตรการเว้นระยะห่างที่เหมาะสม
ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
เมื่อเกิดเหตุไฟฟ้ารั่วหรือสายขาด เสาไฟฟ้าแรงสูงอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ การจัดทำโซนปลอดภัยและการเข้าถึงที่ถูกต้องจึงสำคัญมาก
การจัดวางเสาไฟฟ้าในเมืองไทย
ในประเทศไทยมีการจัดทำแนวเสาไฟฟ้าตามแนวสายส่งแรงสูง โดยมักใช้โครงถักเพราะทนแข็งแรง ต่อฝน ลม และรองรับแรงดึงสายส่ง ในพื้นที่ชุมชนบางแห่งที่สายแรงสูงผ่านผ่านมักติดป้ายเตือน และห้ามเข้าใกล้ภายในระยะที่กำหนด
กรมโรงไฟฟ้า หรือ กฟน./กฟภ. รวมถึงผู้รับอนุญาตมีบทบาทสำคัญในการกำหนดแนวเขตสายส่ง และประสานกับภาครัฐหรือเทศบาลในเรื่องการก่อสร้างหรือช่วงเวลารื้อถอน
เลี่ยงหรือไม่ควรอยู่ใกล้เสาไฟฟ้าแรงสูง?
- ระยะปลอดภัย
คำแนะนำทั่วไปคือการเว้นระยะห่างจากสายส่งแรงสูงอย่างน้อย 100 เมตร หรือระยะที่กำหนดโดยหน่วยงาน เช่น กฟภ./กฟน. - บ้านหรือโครงการต้องมีระบบป้องกัน เช่น ฝาครอบสายดิน หรือมีมาตรการป้องกันฟ้าผ่า
- สภาพแวดล้อมรอบข้างควรมีการจัดการพื้นที่ เช่น ปลูกต้นไม้ในแนวรั้ว หรือมีรั้วกั้นตามแนวมาตรฐาน
ตัวอย่างการวางเสาในเมืองต่างประเทศ
หลายเมืองระดับโลกเริ่มเปลี่ยนจากเสาเหล็กแบบเดิมไปใช้ระบบ สายไฟใต้ดิน (Underground Cable) เพื่อลดผลกระทบด้านสาธารณูปโภคและภาพลักษณ์ เช่น นิวยอร์ก โตเกียว และสิงคโปร์ แม้ต้นทุนสูงกว่า แต่เหมาะกับพื้นที่เมืองที่หนาแน่น
แนวโน้มอนาคตและทางเลือก
- การใช้ สายไฟใต้ดิน มากขึ้นในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่
- ระบบสายส่งที่มีเสียงรบกวนต่ำ (LOW-CORONA)
- เสาแบบ composite หรือวัสดุใหม่ที่เบา ทน และสวยงาม
- นโยบายการใช้พื้นที่แนวเส้นส่งเป็นพื้นที่สาธารณะ เช่น สวนหรือเส้นทางจักรยาน
ข้อควรระวังเมื่อต้องอยู่ใกล้เสาแรงสูง
- ตรวจสอบเส้นผ่านแห่งอนาคตในโฉนดที่ดินก่อนซื้อ หรือดูแผนแม่บทของเมือง
- สอบถามหน่วยงานไฟฟ้าในพื้นที่เกี่ยวกับแนวเส้นแรงสูง และระยะปลอดภัย
- สอบถามเจ้าของโครงการหรือผู้พัฒนาอสังหาฯ ว่าโครงการอยู่ในรัศมีเส้นส่งหรือไม่ และมีมาตรการป้องกันหรือไม่
สรุป
เสาไฟฟ้าแรงสูงเป็นโครงสร้างสำคัญ ที่ช่วยให้อาคาร บ้าน และเมืองทำงานได้อย่างเสถียร แต่นั่นก็แลกมาด้วยผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ทัศนียภาพ และความกังวลเรื่องสุขภาพของชุมชน แอปโฆษณาอสังหาฯ และผู้วางผังเมืองต้องคำนึงถึงระยะปลอดภัย หากจำเป็นให้มีแนวทางป้องกันชัดเจน เช่น รั้วกั้น ระบบสายดิน หรือวิธีจัดสวนแนวเส้นส่ง