ภาษีมรดก คือภาษีที่เรียกเก็บจากผู้ที่ได้รับมรดกซึ่งมีมูลค่าสูง โดยเริ่มบังคับใช้ในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษีและลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ซึ่งภาษีนี้จะถูกเรียกเก็บเฉพาะในกรณีที่ทรัพย์มรดกมีมูลค่าเกินกว่า 100 ล้านบาท
ใครบ้างที่ต้องเสียภาษีมรดก?
บุคคลที่ต้องเสียภาษีมรดกแบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ได้แก่:
- บุคคลธรรมดา ที่มีสัญชาติไทย หรือมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย และได้รับมรดกจากทั้งในและต่างประเทศ
- นิติบุคคลไทย เช่น บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนที่ได้รับมรดก
- บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลต่างชาติ ที่ได้รับมรดกซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทย
ข้อยกเว้นสำคัญ คือ คู่สมรสที่ได้รับมรดกจากคู่ของตน ไม่ต้องเสียภาษี ไม่ว่าจะมีมูลค่าเท่าใดก็ตาม
ทรัพย์สินแบบไหนที่ต้องเสียภาษีมรดก?
ทรัพย์สินที่ถูกจัดว่าอยู่ในฐานภาษีมรดกมีหลากหลายประเภท ได้แก่:
- อสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน บ้าน คอนโด อาคารพาณิชย์
- หลักทรัพย์ เช่น หุ้น หุ้นกู้ ตราสารหนี้
- เงินฝากธนาคาร และบัญชีเงินฝากประเภทต่าง ๆ
- ยานพาหนะ ที่มีทะเบียน เช่น รถยนต์
- สิทธิเรียกร้อง เช่น เงินลงทุนในกองทุนรวม หรือสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
ทั้งนี้ ทรัพย์สินบางประเภทไม่ถูกจัดอยู่ในฐานภาษีมรดก เช่น ทองคำแท่ง สินไหมจากประกันชีวิต เงินบำเหน็จบำนาญ และของสะสมบางประเภท
อัตราภาษีมรดกเท่าไร?
ภาษีจะถูกเรียกเก็บเฉพาะ ส่วนที่เกิน 100 ล้านบาทแรก ของมูลค่ามรดกสุทธิ โดยมีอัตราภาษีดังนี้:
- 5% สำหรับทายาทที่เป็นบุคคลธรรมดาซึ่งมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด เช่น บุตร หลาน บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย
- 10% สำหรับทายาทที่เป็นบุคคลทั่วไป หรือนิติบุคคล
- 0% สำหรับคู่สมรส
วิธีคำนวณภาษีมรดกแบบง่าย ๆ
การคำนวณภาษีมรดกสามารถทำได้ใน 3 ขั้นตอนหลัก:
- รวมมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด ที่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษี
- หักค่าลดหย่อน ได้แก่
- ฐานยกเว้น 100 ล้านบาท
- หนี้สินที่ยังค้างของผู้เสียชีวิต
- คูณอัตราภาษี ตามประเภทของผู้รับมรดก
ตัวอย่าง
นาง A ได้รับมรดกเป็นที่ดินและหุ้นรวมมูลค่า 150 ล้านบาท
หักฐานยกเว้น 100 ล้านบาท → ฐานภาษีที่ต้องเสีย = 50 ล้านบาท
หากเป็นบุตรของผู้ตาย → เสียภาษีในอัตรา 5% → 50,000,000 x 5% = 2,500,000 บาท
ขั้นตอนการยื่นภาษีมรดก
ผู้รับมรดกจะต้องดำเนินการยื่นภาษีภายใน 150 วัน นับจากวันที่รับทรัพย์สิน โดยมีขั้นตอนดังนี้:
- ประเมินมูลค่าทรัพย์มรดกสุทธิ โดยรวมทั้งหมดในประเทศไทยและต่างประเทศ
- กรอกแบบ ภ.ร.ด.1 พร้อมเอกสารประกอบ
- ยื่นแบบที่กรมสรรพากรพื้นที่ ที่ผู้ตายมีภูมิลำเนา
- ชำระภาษีมรดก ตามจำนวนที่คำนวณได้
หากไม่ดำเนินการภายในเวลาที่กำหนด อาจถูกเรียกเก็บค่าปรับ และดอกเบี้ยตามกฎหมาย
การวางแผนลดหย่อนภาษีมรดก
การจัดการทรัพย์สินอย่างเป็นระบบสามารถช่วยลดภาระภาษีได้ ดังนี้:
1. ทำพินัยกรรมล่วงหน้า
การเขียนพินัยกรรมที่ชัดเจนช่วยกำหนดทายาทแต่ละคนและป้องกันข้อขัดแย้ง ซึ่งสามารถจัดสรรให้แต่ละคนได้รับไม่เกิน 100 ล้านบาท
2. ใช้ประกันชีวิต
เงินสินไหมประกันชีวิตที่ผู้ตายทำไว้ให้ผู้รับผลประโยชน์ ไม่ถูกนับเป็นมรดก จึงไม่ต้องเสียภาษี
3. แบ่งทรัพย์สินระหว่างมีชีวิต
สามารถทยอยให้ลูกหลานบางส่วน เช่น โอนอสังหาริมทรัพย์ หรือเงินทุน ตั้งแต่ขณะมีชีวิต โดยอาจพิจารณาภาษีการให้ ซึ่งมีเงื่อนไขและอัตราภาษีที่ต่างกัน
4. ใช้ทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในฐานภาษี
เช่น ทองคำแท่ง หรือของสะสมที่ไม่ได้ระบุชัดเจนในฐานภาษี ก็สามารถเป็นทางเลือกในการวางแผนได้
5. ปรึกษานักวางแผนการเงินหรือที่ปรึกษากฎหมาย
เพื่อจัดการโครงสร้างทรัพย์สินให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่ละเมิดกฎหมาย
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: ภาษีการให้กับภาษีมรดกต่างกันอย่างไร?
A: ภาษีการให้คือภาษีที่เกิดขึ้นจากการโอนทรัพย์ระหว่างมีชีวิต ส่วนภาษีมรดกเกิดหลังเจ้าของทรัพย์เสียชีวิต
Q: จะเสียภาษีเฉพาะครั้งแรกหรือทุกครั้งที่ได้รับมรดก?
A: ต้องคำนวณรวมทุกครั้ง หากเกิน 100 ล้านบาทในรอบชีวิต ก็ต้องเสียภาษีในส่วนที่เกิน
Q: ยื่นภาษีไม่ทัน 150 วันได้ไหม?
A: สามารถยื่นล่าช้าได้ แต่ต้องเสียค่าปรับและดอกเบี้ยตามอัตราที่กฎหมายกำหนด
Q: ภาษีมรดกหักออกจากทรัพย์ก่อนแบ่งได้ไหม?
A: ส่วนใหญ่จะคำนวณภาษีหลังจากแบ่งสัดส่วนตามพินัยกรรมหรือกฎหมายมรดก
สรุป: เตรียมตัวรับมือภาษีมรดกอย่างมืออาชีพ
ภาษีมรดกเป็นเรื่องที่ทุกครอบครัวควรเข้าใจและวางแผนล่วงหน้า ไม่ใช่แค่เพื่อความประหยัดเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความขัดแย้งภายในครอบครัว การทำพินัยกรรม การเลือกใช้สินทรัพย์ที่ไม่อยู่ในฐานภาษี หรือใช้ประกันชีวิต ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดเพื่อสร้างความมั่นคงให้คนรุ่นหลัง