การรีไฟแนนซ์บ้าน (Refinance) คือกระบวนการที่เจ้าของบ้านนำสินเชื่อบ้านเดิมมาเจรจาใหม่กับธนาคาร เพื่อขอลดอัตราดอกเบี้ยหรือปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ ซึ่งสามารถทำได้ 2 ทางคือ:
- รีไฟแนนซ์กับธนาคารเดิม
- รีไฟแนนซ์กับธนาคารใหม่
หลายคนมักคิดว่ารีไฟแนนซ์ต้องย้ายธนาคารเท่านั้นถึงจะได้ประโยชน์ แต่ในความเป็นจริง “รีไฟแนนซ์กับธนาคารเดิม” ก็มีข้อดีหลายอย่าง และอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในบางกรณี
ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกว่าการรีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารเดิมมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง เหมาะกับใคร และควรมีเทคนิคอย่างไรให้ได้ดอกเบี้ยที่ดีที่สุด
รีไฟแนนซ์บ้านคืออะไร?
รีไฟแนนซ์บ้านคือการกู้เงินก้อนใหม่เพื่อไปชำระหนี้ก้อนเก่า โดยมีเป้าหมายเพื่อ:
- ลดภาระดอกเบี้ย
- ลดค่างวดรายเดือน
- เปลี่ยนแปลงระยะเวลาผ่อน
- เพิ่มวงเงินสินเชื่อ (ในบางกรณี)
รีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารเดิมคืออะไร?
การรีไฟแนนซ์กับธนาคารเดิม หมายถึง การเจรจาขอเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยหรือเงื่อนไขสัญญาเดิมกับธนาคารที่ปล่อยสินเชื่ออยู่ในปัจจุบัน โดยไม่ต้องทำเรื่องย้ายไปสถาบันการเงินใหม่
การรีไฟแนนซ์แบบนี้เรียกอีกชื่อว่า “Retention” หรือ “การต่อรองดอกเบี้ย” กับธนาคารเดิม
ข้อดีของการรีไฟแนนซ์กับธนาคารเดิม
1. ลดขั้นตอนเอกสาร
การรีไฟแนนซ์กับธนาคารเดิมไม่จำเป็นต้องยื่นเอกสารเท่าการย้ายธนาคาร เช่น ไม่ต้องมีการตรวจเครดิตบูโรใหม่ หรือตรวจประเมินหลักประกันอีกครั้งในบางกรณี
2. ประหยัดค่าธรรมเนียม
มักไม่มีค่าใช้จ่ายด้าน:
- ค่าจดจำนอง (0.01%)
- ค่าธรรมเนียมสินเชื่อ
- ค่าประเมินราคาบ้าน
3. ใช้เวลาน้อย
จากที่การรีไฟแนนซ์กับธนาคารอื่นอาจใช้เวลา 30-60 วัน การต่อรองกับธนาคารเดิมใช้เวลาน้อยกว่า อาจเสร็จภายใน 1-2 สัปดาห์
4. ไม่ต้องโอนหนี้หรือจำนองใหม่
ไม่มีความยุ่งยากเรื่องเอกสารกรมที่ดิน ไม่ต้องไปสำนักงานที่ดินหรือทำสัญญาใหม่
5. เจรจาได้หลายรอบ
ลูกค้าประจำที่มีประวัติการชำระดีมักมีอำนาจต่อรอง และบางครั้งสามารถต่อรองให้ธนาคารเสนอโปรโมชั่นพิเศษได้
ข้อเสียของการรีไฟแนนซ์กับธนาคารเดิม
1. ดอกเบี้ยอาจไม่ต่ำที่สุด
ธนาคารเดิมอาจไม่ได้เสนออัตราดอกเบี้ยต่ำเท่าธนาคารคู่แข่ง หากไม่ต่อรองเก่งอาจไม่ได้ประโยชน์สูงสุด
2. ไม่มีของแถมหรือโปรเสริม
บางธนาคารใหม่เสนอของแถม เช่น ฟรีค่าจดจำนอง ฟรีประกัน MRTA ซึ่งธนาคารเดิมมักไม่มี
3. อาจไม่ได้เปลี่ยนระยะเวลาผ่อน
ธนาคารเดิมอาจให้ปรับเฉพาะดอกเบี้ย ไม่ให้ยืดอายุการผ่อนหรือเพิ่มวงเงินเหมือนธนาคารใหม่
เหมาะกับใคร?
การรีไฟแนนซ์กับธนาคารเดิม เหมาะกับผู้ที่:
- ผ่อนบ้านมาเกิน 3 ปี (หมดช่วงดอกเบี้ยคงที่)
- มีประวัติการชำระดี
- ไม่มีเวลา/ไม่สะดวกเตรียมเอกสารใหม่
- ต้องการลดดอกเบี้ยแต่ไม่ต้องการเปลี่ยนธนาคาร
- ผ่อนไปแล้วเกินครึ่ง และต้องการปรับดอกเบี้ยเพียงเล็กน้อย
วิธีต่อรองดอกเบี้ยกับธนาคารเดิม
1. ศึกษาอัตราดอกเบี้ยของธนาคารคู่แข่ง
ก่อนเข้าไปคุย ควรเปรียบเทียบดอกเบี้ยจากธนาคารอื่น 2–3 เจ้า และนำตัวเลขไปใช้ต่อรอง เช่น “ธนาคาร A เสนอ 2.99% คงที่ 3 ปี”
2. เตรียมประวัติการผ่อนชำระ
ถ้าคุณไม่เคยค้างชำระ หรือจ่ายเกินทุกงวด ให้นำข้อมูลนี้ไปใช้เป็นจุดแข็ง
3. ขอพูดกับเจ้าหน้าที่สินเชื่อโดยตรง
หากพูดผ่าน Call Center อาจไม่สามารถตัดสินใจได้ ให้ขอคุยกับเจ้าหน้าที่สินเชื่อหรือผู้จัดการสาขาโดยตรง
4. บอกว่า “มีแผนจะรีไฟแนนซ์ออก”
วิธีนี้ช่วยให้ธนาคารกระตือรือร้นในการ “รักษาลูกค้า” มากขึ้น และอาจยอมเสนอโปรพิเศษทันที
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรีไฟแนนซ์กับธนาคารเดิม
ถ้ารีไฟแนนซ์กับธนาคารเดิม ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง?
- สำเนาบัตรประชาชน
- สัญญากู้เดิม
- ทะเบียนบ้าน
- Statement ย้อนหลัง
- หนังสือขอเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย
หมายเหตุ: เอกสารน้อยกว่าการย้ายธนาคาร
ต้องเสียค่าธรรมเนียมหรือไม่?
บางธนาคารอาจมีค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนแปลงสัญญาเล็กน้อย เช่น 1,000–3,000 บาท แต่โดยทั่วไปแล้วน้อยกว่าค่าธรรมเนียมการย้าย
รีไฟแนนซ์ได้บ่อยแค่ไหน?
สามารถทำได้ทุก 3 ปี (ตามสัญญาส่วนใหญ่) หรือเมื่อหมดช่วงโปรโมชั่นดอกเบี้ยคงที่
เปรียบเทียบ: รีไฟแนนซ์กับธนาคารเดิม vs ธนาคารใหม่
ปัจจัย | ธนาคารเดิม | ธนาคารใหม่ |
---|---|---|
ดอกเบี้ย | ปานกลาง – สูง (ถ้าไม่ต่อรอง) | ต่ำ (เพราะต้องดึงลูกค้าใหม่) |
เอกสาร | น้อย | มาก |
ค่าใช้จ่าย | ต่ำ | อาจมีค่าโอน/จดจำนอง |
ระยะเวลาดำเนินการ | เร็ว (1–2 สัปดาห์) | ช้า (1–2 เดือน) |
ของแถม/โปรโมชัน | น้อยหรือไม่มี | มีมาก เช่น ฟรีค่าจดจำนอง |
ความสะดวก | สูง | ต่ำกว่าธนาคารเดิม |
สรุป: รีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารเดิม ควรหรือไม่?
เหมาะกับคนที่ต้องการความสะดวก
ไม่ต้องการย้ายธนาคารหรือทำเรื่องเอกสารใหม่
ต้องการลดดอกเบี้ยเล็กน้อยโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
แต่ถ้าต้องการดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุด หรือโปรพิเศษ เช่น ฟรีค่าธรรมเนียม รีไฟแนนซ์กับธนาคารใหม่อาจคุ้มกว่า