การซื้อ–ขายคอนโดมิเนียมในประเทศไทย นอกจากราคาซื้อขายที่ต้องเตรียมเงินให้พร้อมแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายแฝงอีกหลายรายการที่ผู้ซื้อหรือผู้ขายมักมองข้าม หนึ่งในนั้นคือ “ค่าโอนกรรมสิทธิ์” หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า “ค่าโอนคอนโด” ซึ่งมีผลต่อจำนวนเงินทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรม และเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกฝ่ายควรเข้าใจอย่างละเอียด
บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเรื่องค่าโอนคอนโดอย่างเจาะลึก ทั้งโครงสร้างค่าใช้จ่าย วิธีคำนวณ ภาระของแต่ละฝ่าย ข้อควรระวัง และเทคนิคในการเตรียมตัวก่อนทำการโอนกรรมสิทธิ์ เพื่อให้ทุกขั้นตอนราบรื่น ไม่เสียเปรียบ และไม่เกิดปัญหาในภายหลัง
ค่าโอนคอนโดคืออะไร?
“ค่าโอนคอนโด” คือค่าธรรมเนียมและภาษีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อ โดยจะต้องชำระต่อสำนักงานที่ดินในวันทำการโอนกรรมสิทธิ์ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ถือเป็นภาระที่กฎหมายกำหนด และมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการคำนวณ
ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ดังนี้:
- ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ (Transfer Fee)
- ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ (Specific Business Tax)
- อากรแสตมป์ (Stamp Duty)
รายละเอียดและการคำนวณค่าใช้จ่าย
1. ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์
- คิดเป็น 2% ของราคาประเมินทุนทรัพย์ หรือราคาซื้อขาย (เลือกจำนวนที่สูงกว่า)
- โดยทั่วไป มักมีการตกลงแบ่งกันคนละครึ่งระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย แต่ไม่ใช่กฎหมายตายตัว สามารถตกลงกันได้ตามสัญญา
ตัวอย่าง:
ราคาขาย 3,000,000 บาท
ราคาประเมินกรมที่ดิน 2,800,000 บาท
=> ค่าธรรมเนียม = 2% ของ 3,000,000 = 60,000 บาท
2. ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
- เก็บจากผู้ขาย
- ใช้อัตราก้าวหน้าเหมือนภาษีบุคคลธรรมดา
- คำนวณจากราคาประเมินทุนทรัพย์ หักค่าเสื่อมตามระยะเวลาที่ถือครอง
ตัวแปรที่ต้องใช้:
- ระยะเวลาการถือครอง
- จำนวนปีที่เป็นเจ้าของ (ยิ่งนาน ยิ่งหักได้เยอะ)
- อัตราภาษีตามขั้นบันได (5%, 10%, 15%, 20%, 25%, 30%, 35%)
3. ภาษีธุรกิจเฉพาะ
- คิดเป็น 3.3% ของราคาประเมินหรือราคาขาย (แล้วแต่จำนวนใดสูงกว่า)
- เก็บเฉพาะในกรณี:
- ผู้ขายถือครองทรัพย์ไม่เกิน 5 ปี
- หรือไม่เคยใช้ห้องชุดนั้นเป็น “บ้านหลัก”
ถ้าไม่เข้าเงื่อนไขนี้ จะไม่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ และเปลี่ยนไปจ่ายอากรแสตมป์แทน
4. อากรแสตมป์
- คิดเป็น 0.5% ของราคาประเมินหรือราคาขาย (จำนวนใดสูงกว่า)
- เก็บเฉพาะในกรณีที่ “ไม่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ”
ผู้ที่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
แม้กฎหมายจะกำหนดให้ผู้ขายต้องรับผิดชอบภาษีส่วนหนึ่ง และผู้ซื้อรับผิดชอบอีกส่วนหนึ่ง แต่ในทางปฏิบัติสามารถตกลงกันเองได้ในสัญญาจะซื้อจะขาย เช่น
ประเภทค่าใช้จ่าย | ผู้รับผิดชอบ (โดยทั่วไป) |
---|---|
ค่าธรรมเนียมโอน | ผู้ซื้อและผู้ขายคนละครึ่ง |
ภาษีเงินได้ฯ | ผู้ขาย |
ภาษีธุรกิจเฉพาะ | ผู้ขาย |
อากรแสตมป์ | ผู้ขาย |
วิธีเตรียมตัวก่อนโอนกรรมสิทธิ์
- ตรวจสอบราคาประเมินจากกรมที่ดิน
- สามารถสอบถามได้ที่สำนักงานที่ดินในพื้นที่
- หรือใช้เว็บไซต์ของกรมที่ดินเพื่อคำนวณเบื้องต้น
- เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน
- โฉนดคอนโดตัวจริง
- สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
- หนังสือยินยอมจากนิติบุคคล (ถ้ามีหนี้ค้างค่าส่วนกลางต้องชำระก่อน)
- ขอใบปลอดหนี้ค่าส่วนกลางจากนิติบุคคลอาคารชุด
- สำนักงานที่ดินจะขอดูใบนี้ก่อนอนุญาตให้โอน
- นัดหมายกับสำนักงานที่ดิน
- โดยทั่วไปสามารถ Walk-in ได้ แต่ควรโทรสอบถามหรือนัดล่วงหน้า
- ตรวจสอบสัญญาจะซื้อจะขายให้ชัดเจน
- โดยเฉพาะเรื่องภาระค่าใช้จ่าย
- ข้อตกลงเรื่องการแบ่งจ่ายค่าโอน
ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้อง
นอกจากค่าใช้จ่ายหลักในการโอนกรรมสิทธิ์แล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นที่อาจเกิดขึ้น:
- ค่าธรรมเนียมจดจำนอง (ถ้ามีการกู้สินเชื่อ) 1% ของวงเงินกู้
- ค่าบริการจากบริษัทนายหน้า (ถ้ามี)
- ค่าธรรมเนียมนิติบุคคลสำหรับเปลี่ยนชื่อเจ้าของ
- ค่าคำปรึกษาจากทนาย หรือผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
กรณีพิเศษ: ซื้อจากโครงการใหม่
หากเป็นการซื้อคอนโดจากโครงการที่ยังไม่เคยโอน
- ผู้พัฒนาโครงการมักเสนอโปรโมชัน “ฟรีค่าโอน” หรือ “ออกค่าโอนให้”
- ต้องดูให้ชัดว่าโครงการออกให้จริงหรือแค่บางส่วน
- บางกรณีรวมค่าโอนเข้ากับราคาขาย ทำให้ผู้ซื้อไม่เห็นรายละเอียดจริง
เทคนิคการต่อรองเพื่อประหยัดค่าโอน
- เจรจาแบ่งค่าโอนคนละครึ่ง
- เป็นมาตรฐานทั่วไปที่ผู้ขายจะรับผิดชอบภาษี
- แต่สามารถขอลดภาระฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหากมีเหตุผลสนับสนุน
- ขอโปรโมชันจากโครงการหรือเอเจนซี่
- โดยเฉพาะช่วงสิ้นปีหรือช่วงเปิดตึกใหม่
- ใช้บริการตรวจสอบราคาประเมิน
- เพื่อใช้ต่อรองราคาหรือเตรียมค่าใช้จ่ายได้ถูกต้อง
ข้อควรระวัง
- อย่าเชื่อราคาขายอย่างเดียว ต้องตรวจสอบ “ราคาประเมิน” ด้วย เพราะใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษี
- ถ้าใช้ชื่อบุคคลอื่นในการซื้อขาย ต้องมีหนังสือมอบอำนาจอย่างถูกต้อง
- อย่าลืมตรวจสอบหนี้สินหรือภาระผูกพันในห้องชุดก่อนการโอน
- เอกสารต้องตรงกับบัตรประชาชน ชื่อ–นามสกุลต้องตรงทุกตัวอักษร
บทสรุป
ค่าโอนคอนโดเป็นเรื่องที่ผู้ซื้อ–ผู้ขายต้องให้ความสำคัญ เพราะมีผลต่อค่าใช้จ่ายรวมทั้งสองฝ่ายในกระบวนการซื้อขาย การเตรียมความพร้อมด้านเอกสาร ความเข้าใจในภาระภาษี และการวางแผนทางการเงินที่รอบคอบ จะช่วยให้การโอนกรรมสิทธิ์เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่เกิดปัญหาในภายหลัง
อย่าลืมว่า ในบางกรณี แม้ค่าโอนดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากไม่ได้ตกลงชัดเจน อาจนำไปสู่ความขัดแย้งและภาระที่เกินคาดได้ ดังนั้น การศึกษารายละเอียดล่วงหน้า จึงเป็นสิ่งที่ควรทำทุกครั้งก่อนซื้อขายคอนโด