โอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ เรื่องสำคัญที่ผู้ซื้อบ้านควรรู้

โอนกรรมสิทธิ์

สำหรับผู้ที่กำลังซื้อบ้านหรือคอนโด สิ่งที่สำคัญไม่แพ้การเลือกทำเลและราคาก็คือ “การโอนกรรมสิทธิ์” เพราะนี่คือขั้นตอนที่ทำให้ทรัพย์สินเปลี่ยนจากชื่อผู้ขายมาเป็นของผู้ซื้ออย่างสมบูรณ์ หากไม่เข้าใจรายละเอียด อาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย เอกสาร หรือแม้กระทั่งข้อพิพาททางกฎหมายได้

บทความนี้จะอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ ความหมาย ขั้นตอน เอกสาร ค่าใช้จ่าย รวมถึงสิ่งที่ผู้ซื้อและผู้ขายต้องพิจารณา เพื่อให้การโอนกรรมสิทธิ์ราบรื่นและปลอดภัย

โอนกรรมสิทธิ์คืออะไร?

โอนกรรมสิทธิ์ คือการเปลี่ยนชื่อผู้ถือครองทรัพย์สิน (เช่น บ้าน ที่ดิน หรือคอนโด) จากผู้ขายมาเป็นผู้ซื้อ โดยต้องดำเนินการที่กรมที่ดิน และเมื่อโอนเสร็จสิ้น ผู้ซื้อจึงถือว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามกฎหมายอย่างแท้จริง

พูดง่าย ๆ คือ การโอนกรรมสิทธิ์เป็น “การจดทะเบียนสิทธิ” เพื่อรับรองว่าใครคือเจ้าของทรัพย์นั้น

เหตุผลที่ต้องโอนกรรมสิทธิ์

  1. ยืนยันความเป็นเจ้าของตามกฎหมาย
    หากไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ แม้จะชำระเงินครบแล้ว ผู้ซื้อก็ยังไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง
  2. เพื่อความปลอดภัยในการลงทุน
    โดยเฉพาะคอนโดหรือบ้านมือสองที่มูลค่าสูง การโอนกรรมสิทธิ์คือการป้องกันไม่ให้เกิดการฟ้องร้องหรือการอ้างสิทธิ์ในอนาคต
  3. เป็นเงื่อนไขการขอสินเชื่อบ้าน
    ธนาคารจะอนุมัติสินเชื่อและจดจำนองได้ก็ต่อเมื่อผู้ซื้อโอนกรรมสิทธิ์ในวันเดียวกัน

ขั้นตอนการโอนกรรมสิทธิ์

  1. เตรียมเอกสาร
    • บัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้ซื้อ–ผู้ขาย
    • โฉนดที่ดินตัวจริง
    • หนังสือสัญญาซื้อขาย
    • หนังสือยินยอมจากคู่สมรส (ถ้ามี)
    • เอกสารการจำนอง (ถ้ากู้ธนาคาร)
  2. นัดวันโอนที่กรมที่ดิน
    โดยทั่วไป ผู้ซื้อและผู้ขายจะนัดไปพร้อมกัน หรืออาจมีตัวแทน เช่น เจ้าหน้าที่ธนาคารไปดำเนินการแทน
  3. ชำระค่าใช้จ่ายในการโอน
    ผู้ซื้อและผู้ขายต้องตกลงกันล่วงหน้า ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบค่าโอน ภาษี และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
  4. ลงนามและรับเอกสารสิทธิ
    หลังชำระค่าธรรมเนียมเรียบร้อย กรมที่ดินจะออกเอกสารโฉนดเล่มใหม่ในชื่อผู้ซื้อ

ค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์

ค่าใช้จ่ายอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับราคาประเมินและข้อตกลงระหว่างคู่สัญญา โดยทั่วไปประกอบด้วย

  1. ค่าธรรมเนียมการโอน – 2% ของราคาประเมินกรมที่ดิน
  2. ภาษีธุรกิจเฉพาะ – 3.3% ของราคาขายหรือราคาประเมิน (ถ้ามี)
  3. อากรแสตมป์ – 0.5% ของราคาขายหรือราคาประเมิน (ใช้แทนภาษีธุรกิจเฉพาะในบางกรณี)
  4. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา – คำนวณตามราคาประเมินและระยะเวลาครอบครอง
  5. ค่าจดจำนอง (กรณีกู้ธนาคาร) – 1% ของวงเงินกู้

สิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนโอนกรรมสิทธิ์

  1. ตรวจสอบภาระผูกพันในโฉนด
    ว่ามีการจำนอง ค้ำประกัน หรือภาระอื่น ๆ หรือไม่
  2. ตรวจสอบราคาประเมิน
    ราคาประเมินของกรมที่ดินอาจต่างจากราคาซื้อขายจริง ส่งผลต่อค่าธรรมเนียมและภาษี
  3. ตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายให้ชัดเจน
    ว่าใครเป็นผู้จ่ายค่าโอนและภาษี เพื่อลดปัญหาขัดแย้งหน้างาน
  4. เลือกวันโอนที่เหมาะสม
    โดยเฉพาะกรณีกู้สินเชื่อ ควรให้ธนาคารเข้ามาร่วมในวันโอนเพื่อความสะดวก

ข้อควรระวัง

  • หลีกเลี่ยงการโอนโดยไม่ตรวจสอบเอกสารโฉนดของแท้
  • อย่าชำระเงินก้อนใหญ่ก่อนตรวจสอบสิทธิความเป็นเจ้าของ
  • ระวังการตกลงปากเปล่า ควรทำเป็นลายลักษณ์อักษรเสมอ
  • ควรขอสำเนาเอกสารทุกครั้งเพื่อเก็บเป็นหลักฐาน

โอนกรรมสิทธิ์บ้านใหม่ vs บ้านมือสอง

  • บ้านใหม่ (จากโครงการ)
    ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการจะจัดการเรื่องเอกสารให้ แต่ผู้ซื้อควรรู้รายละเอียดค่าใช้จ่ายและภาษี
  • บ้านมือสอง
    ผู้ซื้อควรตรวจสอบความถูกต้องของโฉนด และดูว่าผู้ขายมีภาระหนี้หรือไม่ รวมถึงตกลงค่าใช้จ่ายให้ชัดเจน

สรุป

การโอนกรรมสิทธิ์คือขั้นตอนสำคัญที่สุดในการซื้อขายบ้านหรือคอนโด เพราะเป็นการยืนยันความเป็นเจ้าของตามกฎหมาย ผู้ซื้อควรศึกษาเรื่องเอกสาร ขั้นตอน ค่าใช้จ่าย และข้อควรระวังให้เข้าใจ เพื่อให้การโอนราบรื่น ปลอดภัย และไม่มีปัญหาในอนาคต

Share the Post:

รีวิวคอนโด อุดมสุข

รีวิวบ้าน อุดมสุข

อัพเดตล่าสุด