ทำความเข้าใจเรื่อง “การอายัดเงิน”
การอายัดเงินคือกระบวนการที่เจ้าหนี้ใช้สิทธิทางกฎหมายบังคับกับลูกหนี้เพื่อให้ชำระหนี้ เมื่อศาลมีคำพิพากษาและออกหมายบังคับคดี เจ้าหนี้สามารถยื่นคำร้องขอให้กรมบังคับคดีอายัดเงินเดือน บัญชีเงินฝาก หรือทรัพย์สินของลูกหนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เงินทุกประเภทที่จะถูกอายัดได้ เนื่องจากกฎหมายได้กำหนดให้บางประเภทได้รับการคุ้มครองเพื่อความเป็นธรรมและเพื่อการดำรงชีวิตพื้นฐานของลูกหนี้
เงินที่กฎหมายกำหนดว่า “ห้ามอายัด”
- เงินเดือนและค่าจ้างบางส่วน
กฎหมายกำหนดว่าการอายัดเงินเดือนหรือค่าจ้างต้องเหลือเงินไว้ให้ลูกหนี้อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง เพื่อให้ยังคงมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต - เงินเพื่อการยังชีพขั้นพื้นฐาน
เช่น ค่าอาหาร ค่าที่อยู่อาศัย และค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่น ๆ หากเงินก้อนนั้นถูกกำหนดหรือระบุว่าเพื่อการยังชีพ จะไม่สามารถถูกอายัดได้ - เงินบำนาญ ข้าราชการหรือรัฐวิสาหกิจบางประเภท
เงินบำนาญที่จ่ายเพื่อการยังชีพหลังเกษียณถือเป็นสิทธิประโยชน์ที่ได้รับความคุ้มครอง - เงินช่วยเหลือสวัสดิการของรัฐ
เช่น เงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เงินช่วยเหลือผู้พิการ หรือเงินสงเคราะห์บุตร เงินเหล่านี้เป็นสวัสดิการที่กฎหมายห้ามอายัด - เงินที่ใช้เลี้ยงดูครอบครัวโดยตรง
หากศาลเห็นว่าเงินนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการเลี้ยงดูครอบครัว เช่น ค่าเลี้ยงดูบุตร จะได้รับการคุ้มครองเช่นกัน
เงินเดือนกรณีถูกอายัด คิดอย่างไร?
เมื่อเจ้าหนี้ขออายัดเงินเดือน กฎหมายกำหนดให้ลูกหนี้ต้องเหลือเงินใช้ไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของเงินเดือนทั้งหมด ตัวอย่างเช่น
- หากลูกหนี้มีเงินเดือน 30,000 บาท เจ้าหนี้สามารถอายัดได้ไม่เกิน 15,000 บาท ลูกหนี้ต้องเหลืออย่างน้อย 15,000 บาท
- หากลูกหนี้มีเงินเดือน 12,000 บาท จะต้องเหลืออย่างน้อย 6,000 บาท
ทั้งนี้ การอายัดจะไม่รวมค่าล่วงเวลา โบนัส หรือเงินพิเศษอื่น ๆ หากไม่ได้ระบุในสัญญาเงินเดือนโดยตรง
ความแตกต่างระหว่าง “อายัดเงินเดือน” และ “อายัดบัญชี”
- อายัดเงินเดือน
เจ้าหนี้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้หักจากนายจ้างโดยตรงก่อนถึงมือลูกหนี้ - อายัดบัญชี
ศาลมีคำสั่งอายัดบัญชีธนาคาร เงินที่อยู่ในบัญชี ณ เวลานั้นจะถูกระงับการถอนหรือโอน แต่เงินบางประเภท เช่น เงินสวัสดิการของรัฐที่โอนเข้าบัญชี อาจไม่ถูกนำไปชำระหนี้
สิทธิของลูกหนี้ที่ควรรู้
- ลูกหนี้สามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอยกเว้นการอายัดเงินที่เป็นเงินสวัสดิการหรือเงินเพื่อการยังชีพ
- ลูกหนี้มีสิทธิได้รับเงินเดือนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งเสมอ
- หากนายจ้างหักเงินเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ลูกหนี้สามารถร้องเรียนต่อกรมบังคับคดีหรือศาลได้
คำแนะนำสำหรับผู้ที่เสี่ยงถูกอายัดเงิน
- ตรวจสอบหนี้สิน ให้แน่ใจว่าหนี้ที่ถูกฟ้องเป็นหนี้ที่แท้จริง
- เจรจาประนอมหนี้ กับเจ้าหนี้ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการบังคับคดี เพื่อลดความเสี่ยงการถูกอายัด
- แยกบัญชีเงิน หากได้รับเงินสวัสดิการจากรัฐ ควรโอนเข้าบัญชีแยกต่างหาก เพื่อให้สามารถยืนยันได้ว่าเป็นเงินที่ห้ามอายัด
- วางแผนทางการเงิน จัดสรรรายได้และค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้การอายัดเงินกระทบการดำรงชีวิตจนเกินไป
คำถามที่พบบ่อย
เงินสวัสดิการที่โอนเข้าบัญชีธนาคาร จะถูกอายัดหรือไม่?
โดยหลักแล้วไม่ควรถูกอายัด แต่ลูกหนี้ควรเก็บหลักฐานยืนยันว่าเงินนั้นเป็นสวัสดิการ
สามารถขอยกเลิกการอายัดเงินได้หรือไม่?
ทำได้ หากพิสูจน์ได้ว่าเงินที่ถูกอายัดเป็นเงินประเภทที่กฎหมายห้ามอายัด
เงินเดือนลูกหนี้ถูกอายัดแล้ว จะกระทบต่อโบนัสหรือไม่?
โบนัสที่เป็นรายได้พิเศษไม่ใช่เงินเดือนโดยตรง ศาลอาจพิจารณาแยกตามกรณี
สรุป
“เงินที่ห้ามอายัด” เป็นสิทธิพื้นฐานที่กฎหมายคุ้มครองลูกหนี้ เพื่อให้ยังคงมีเงินสำหรับการดำรงชีวิต ไม่ถูกบังคับชำระหนี้จนหมดตัว เงินที่ได้รับความคุ้มครองได้แก่ เงินเดือนบางส่วน เงินบำนาญ เงินสวัสดิการจากรัฐ และเงินเพื่อการยังชีพโดยตรง ลูกหนี้ควรรู้สิทธิของตนเองเพื่อป้องกันความเสียหาย และเจ้าหนี้ก็ควรเข้าใจข้อจำกัดทางกฎหมาย เพื่อดำเนินการทวงหนี้อย่างถูกต้อง