หักภาษีเงินเดือน คิดยังไง? คู่มือเข้าใจง่ายสำหรับมนุษย์เงินเดือน

หักภาษีเงินเดือน คิดยังไง

หนึ่งในคำถามยอดฮิตของมนุษย์เงินเดือนคือ “ทำไมเงินเดือนถึงไม่เต็มจำนวน?” คำตอบก็คือ การหักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งเป็นขั้นตอนที่นายจ้างนำส่งภาษีให้รัฐแทนพนักงานโดยอัตโนมัติ แล้วสรุปตอนปลายปีอีกครั้ง

บทความนี้จะอธิบายแบบเข้าใจง่าย ว่า ภาษีเงินเดือนไทยคิดยังไง และมีอะไรหักบ้าง

ทำไมบริษัทต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายเงินเดือน?


เนื่องจากบริษัทเป็นผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 แห่งกฎหมายประมวลรัษฎากร กล่าวคือ บุคคล ห้างหุ้นส่วน บริษัท สมาคม หรือคณะบุคคล ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ต้องหักภาษีเงินได้ไว้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมิน

หรือสรุปง่าย ๆ ว่า กฎหมายกำหนดให้ผู้จ่ายเงินได้ ให้แก่ผู้รับ ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องหักภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่ายไว้ทุกครั้งที่มีการจ่ายเงิน

ในทีนี้ ผู้จ่ายเงินหรือบริษัทนายจ้าง เปรียบเสมือนตัวแทนของรัฐฯ มีหน้าที่ในการนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายแทนพนักงาน ภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่พนักงานถูกหักไปในแต่ละเดือน จะถือเป็นภาษีเงินได้ที่ได้จ่ายล่วงหน้าไป หากถูกหักไว้เกินกว่าภาษีที่ต้องจ่าย จะสามารถขอคืนภาษีได้ และหากถูกหักไว้น้อยกว่าภาษีที่ต้องจ่าย จะต้องมีการจ่ายภาษีเพิ่มเติม 

อย่างไรก็ตาม อย่าลืมยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากันนะคะ เพราะเป็นหน้าที่ของผู้มีรายได้แต่ละบุคคลจะต้องทำ เพื่อแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่สรรพากรกำหนด โดยจะต้องยื่นทุกปี ตามระยะเวลาที่สรรพากรกำหนดคือ มกราคม-มีนาคม ของปีถัดไป


บริษัทหัก ภาษี ณ ที่จ่ายเงินเดือน อัตราเท่าไหร่?


เงินได้พึงประเมินของบุคคลธรรมดาแบ่งออกเป็นทั้งหมด 8 ประเภท โดยการคำนวณภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่ายจะแตกต่างกันออกไปตามประเภทของเงินได้ 


ยกตัวอย่างเช่น

เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 1 ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งได้แก่ เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ ค่าเช่าบ้านที่นายจ้างออกให้ หรือ อยู่บ้านนายจ้างโดยไม่เสียค่าเช่า เงินที่นายจ้างจ่ายหนี้แทนลูกจ้าง หรือเงินอื่นๆ ที่ได้รับ เช่น ค่าอาหารกลางวัน เป็นต้น

สำหรับเงินได้ประเภทที่ 1 นี้ บริษัทจะสามารถหัก ภาษี ณ ที่จ่ายได้ต่ำสุดที่ 0% หรือตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบก้าวหน้า หลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่าง ๆ แล้ว 
ในกรณีที่หักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนทั้งหมดแล้ว พนักงานมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษี บริษัทผู้มีหน้าที่หัก ณ ที่จ่ายไม่จำเป็นจะต้องหัก ณ ที่จ่ายเลย หรือเท่ากับหัก ณ อัตรา 0% แต่ในกรณีที่มีการหัก ณ ที่จ่ายไว้แล้ว พนักงานสามารถขอคืนภาษีได้ ตอนยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา


วิธีการคำนวณว่าเราจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายหรือไม่?


ให้ลองคำนวณจำนวนเงินภาษีที่เราต้องจ่ายในปีนั้นดูค่ะ ถ้าคำนวณแล้วเราไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ เราก็จะไม่ถูกหัก ณ ที่จ่ายเช่นกัน

กฎหมายยกเว้นภาษีให้แก่บุคคลธรรมดาที่มีเงินได้สุทธิต่อปีไม่เกิน 150,000 บาท หรือจะคิดง่าย ๆ เลยก็ได้ว่า 

ถ้ามีเงินได้สุทธิต่อปี (เงินเดือนทั้งปี หักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนทั้งหมด) ไม่เกิน 150,000 บาท ก็ไม่ต้องเสียภาษี

ซึ่งเราสามารถคำนวณเงินได้สุทธิอย่างง่าย ได้ดังนี้

เงินได้สุทธิ = เงินได้ทั้งปี – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน 

สำหรับบุคคลธรรมดาที่มีสถานะโสดและมีเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเดือนละ 750 บาท หากมีเงินได้ทั้งปีมากกว่า 319,000 บาท จะต้องเสียภาษีและถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายนั่นเองค่ะ

คำนวณจาก เงินได้ทั้งปี (319,000) – ค่าใช้จ่าย (50% ไม่เกิน 100,000) – ค่าลดหย่อนส่วนตัว (60,000) – ค่าลดหย่อนประกันสังคม (9,000) = เงินได้สุทธิ 150,000 บาท


วิธีคำนวณภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่ายเงินเดือน


ในบทความนี้ จะขอยกตัวอย่างวิธีการคำนวณภาษีเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 1 

เงินเดือน หรือ เงินได้ตามมาตรา 40(1) ในแต่ละเดือนนั้นจะถูก หัก ณ ที่จ่ายตามอัตราก้าวหน้า หมายถึง การคาดการณ์รายได้พนักงานไปทั้งปีเลย แล้วหักด้วยค่าใช้จ่าย ค่าลดหย่อนตามที่พนักงานได้แจ้งไว้กับทางบริษัท (หรือ ฝ่ายบุคคล – HR) เพื่อคิดเป็นฐานเงินได้สุทธิ และนำไปคำนวณภาษีตามขั้นบันได แล้วนำเงินได้สุทธิมาคูณอัตราภาษีตามอัตราก้าวหน้าอีกที 

1. รวมเงินเดือนทั้งปีและหักค่าใช้จ่าย


กฎหมายยังกำหนดให้เงินได้ประเภทที่ 1 นี้สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ในอัตราร้อยละ 50 แต่ไม่เกิน 100,000 บาท 
ยกตัวอย่างเช่น
นายเอ มีเงินเดือนเดือนละ 30,000 บาท ถ้านายเอทำงานตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2567 จนถึง 31 ธันวาคม 2567 นายเอจะมีเงินได้ตลอดทั้งปีเท่ากับ 30,000 x 12 = 360,000 บาท

นายเอสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของ 360,000 บาท (360,000 x 50% = 180,000 บาท) ซึ่งเกิน 100,000 บาท

ดังนั้น นายเอสามารถหักค่าใช้จ่ายได้เพียง 100,000 บาท เท่านั้น ก็จะเหลือเงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย 260,000 บาท

แต่เดี๋ยวก่อน! 260,000 บาท นี้ยังไม่ใช่จำนวนเงินที่นายเอต้องนำไปคำนวณเพื่อเสียภาษีนะคะ


2. หักค่าลดหย่อนส่วนตัว


กฎหมายกำหนดให้บุคคลธรรมดาสามารถหักลดหย่อนส่วนตัวได้ ไม่เกิน 60,000 บาท 

“ตามกฎหมายแล้วนอกจากหักค่าใช้จ่ายตามประเภทของเงินได้แล้ว ยังสามารถหักค่าลดหย่อนตามสถานะของผู้มีเงินได้ได้อีกด้วย”

ยกตัวอย่างเช่น

เงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายของนายเอที่คำนวณไว้ คือ 260,000 บาท – ค่าลดหย่อนส่วนตัว จำนวน 60,000 เหลือ 200,000 บาท

ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ยังมีค่าลดหย่อนให้หักอีกหลายข้อ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ กรมสรรพากร ได้เลยค่ะ

จากตัวอย่าง นายเอมีเงินเดือนเดือนละ 30,000 บาท และเป็นคนโสด แต่ในชีวิตจริง สมมติว่าปีถัดมา (2568) นายเออาจจะมีบิดา-มารดา ที่ไม่มีเงินได้และอายุ 60 ปีทั้ง 2 ท่าน หรือปีถัดมาเกิดสมรสมีภรรยาขึ้นมา หรือมีค่าลดหย่อนด้านอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าเบี้ยประกันชีวิต ค่าเบี้ยประกันสุขภาพ นายเอจะต้องไล่เรียงค่าลดหย่อนที่เกี่ยวข้องมาคำนวณเงินได้สุทธิเพื่อเสียภาษี ตามตัวอย่างนี้ค่ะ

  1. เงินเดือน (30,000 x 12) 360,000 บาท
  2. ลดหย่อนภรรยาหรือสามี (ภรรยา/สามีไม่มีเงินได้) 60,000 บาท
  3. บุตรชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรบุญธรรมคนละ 30,000 บาท (บุตรชอบด้วยกฎหมายไม่จำกัดจำนวน บุตรบุญธรรมหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 3 คน)
  4. ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาที่อายุเกิน 60 ปี ท่านละ 30,000 บาท (กรณีสามี/ภรรยาไม่มีเงินได้ สามารถลดหย่อนบิดา-มารดาของสามี/ภรรยาที่อายุเกิน 60 ปีได้อีก ท่านละ 30,000 บาท)
  5. ค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือทุพพลภาพ 60,000 บาท (คนพิการหรือคนทุพพลภาพต้องมีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 30,000 บาทในปีภาษี)
  6. ค่าเบี้ยประกันชีวิต (กรมธรรม์ 10 ปีขึ้นไป) ได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท
  7. ค่าเบี้ยประกันสุขภาพบิดา-มารดา หักได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท (บิดา-มารดามีเงินได้ไม่เกิน 30,000 บาทในปีที่ใช้สิทธิยกเว้นนั้น)
  8. ลดหย่อนและยกเว้นเงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หักลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท ส่วนที่เกิน 10,000 บาท ได้รับยกเว้นไม่เกิน 490,000 บาท และไม่เกินร้อยละ 15 ของค่าจ้าง
  9. ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัยตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี

3. หักประกันสังคม (ถ้ามี) เพื่อหารายได้สุทธิ


ในกรณีที่พนักงานอยู่ในระบบประกันสังคม และบริษัทมีการหักเงินเดือนสมทบเข้าประกันสังคมทุกเดือน จะสามารถนำเงินสมทบประกันสังคมมาลดหย่อนได้เพิ่มเติมอีก ไม่เกิน 9,000 บาท (750 บาทต่อเดือน)

ยกตัวอย่างเช่น

ต่อจากข้อที่ 2 นายเอมีเงินได้ทั้งปีหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนส่วนตัว เท่ากับ 200,000 บาท และส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเดือนละ 750 บาท สามารถนำมาหักลดหย่อนได้เพิ่มเติมอีก  9,000 บาท (750 x 12) 
ดังนั้น นายเอจะมีเงินได้สุทธิในปี 2567 เท่ากับ 200,000 – 9,000 = 191,000 บาท


4. คำนวณภาษีตาม อัตราก้าวหน้า ของภาษีเงินได้

เมื่อได้ยอดเงินได้สุทธิเพื่อเสียภาษีแล้ว ก็นำไปคำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้าของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนี้

ตารางคำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้าของภาษีเงินได้

เงินได้สุทธิ (บาท)อัตราภาษีฐานภาษี (บาท)จำนวนภาษีสูงสุด (บาท)
0 – 150,000ยกเว้นภาษี150,000
150,001 – 300,0005%150,0007,500
300,001 – 500,00010%200,00020,000
500,001 – 750,00015%250,00037,500
750,001 – 1,000,00020%250,00050,000
1,000,001 – 2,000,00025%1,000,000250,000
2,000,001 – 5,000,00030%3,000,000900,000
มากกว่า 5,000,00035%

จากตัวอย่างนายเอมีเงินได้สุทธิ 191,000 บาท ดังนั้น นายเอจะได้รับการยกเว้นภาษีในส่วน 150,000 บาทแรก ก็คือ 191,000 – 150,000 ดังนั้นจะเหลือ 41,000 บาท ที่จะตกไปในขั้นที่ 2 คือต้องเสียภาษีในอัตรา 5% คิดเป็นเงินภาษีทั้งปีเท่ากับ 41,000 x 5% = 2,050 บาท 

จากนั้น นำไปเฉลี่ยเพื่อหักเป็นภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายรายเดือน จะได้เท่ากับ 2,050/12 เท่ากับเดือนละ 170.83 บาทนั่นเอง

ขอสรุปวิธีการคำนวณภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายของนายคุ้กกี้เป็นตารางเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายๆ ดังนี้

ตัวอย่างการคำนวณเงินได้สุทธิจากเงินเดือน

รายการจำนวนเงิน (บาท)
เงินได้ทั้งปี (30,000 × 12)360,000
หัก ค่าใช้จ่าย (หักได้ 50% ไม่เกิน 100,000)-100,000
หัก ค่าลดหย่อน (สถานะโสด)-60,000
หัก ประกันสังคม (750 × 12)-9,000
คงเหลือ เงินได้สุทธิ191,000


เมื่อได้เงินได้สุทธิแล้ว นำไปคูณกับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อคำนวณภาษีเงินได้

ตารางคำนวณภาษีเงินได้ (ตามอัตราก้าวหน้า)

ช่วงเงินได้สุทธิ (บาท)อัตราภาษีจำนวนเงินที่เข้าเกณฑ์ (บาท)ภาษีที่ต้องจ่าย (บาท)
0 – 150,000ยกเว้น150,0000
150,001 – 300,0005%41,000 (191,000 – 150,000)2,050 (41,000 × 5%)
รวม2,050 บาท

ดังนั้น ในปี 2567 นายเอจะต้องเสียภาษีเงินได้เท่ากับ 2,050 บาท โดยบริษัทจะทำการหักภาษี ณ ที่จ่ายออกจากเงินเดือนที่จ่ายในแต่ละเดือน เป็นเงิน 2,050 หาร 12 เดือนเท่ากับ 170.83 บาท/เดือน นั่นเองค่ะ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาษีหัก ณ ที่จ่ายเงินเดือน

1. ทำไมเงินเดือนของเราถึงถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย?

คำตอบ: เป็นเพราะกฎหมายประมวลรัษฎากรมาตรา 50 กำหนดให้บริษัทที่จ่ายเงินเดือนต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายทุกครั้งที่จ่ายเงินให้พนักงาน เพื่อเป็นการจ่ายภาษีเงินได้ล่วงหน้า หากจ่ายเกินจะได้รับคืน หากจ่ายน้อยจะต้องจ่ายเพิ่มเติมเมื่อยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

2. เงินเดือนเท่าไหร่ถึงจะไม่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย?

คำตอบ: สำหรับคนโสดที่มีประกันสังคม หากมีเงินเดือนไม่เกิน 26,583 บาทต่อเดือน (หรือ 319,000 บาทต่อปี) จะไม่ถูกหักภาษี เพราะเมื่อหักค่าใช้จ่าย ค่าลดหย่อนส่วนตัว และประกันสังคมแล้ว เงินได้สุทธิจะไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี ซึ่งได้รับยกเว้นภาษี

3. การคำนวณภาษี ณ ที่จ่ายเงินเดือนต่างจากการจ่ายเงินประเภทอื่นอย่างไร?

คำตอบ: ภาษี ณ ที่จ่ายเงินเดือนจะคำนวณแบบอัตราก้าวหน้า โดยคาดการณ์รายได้ทั้งปี หักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน แล้วคำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้า จากนั้นเฉลี่ยเป็นรายเดือน ไม่ใช่การหักตามเปอร์เซ็นต์คงที่เหมือนการจ่ายเงินประเภทอื่น

4. หากบริษัทหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้เกิน สามารถทำอย่างไรได้บ้าง?

คำตอบ: สามารถขอคืนภาษีได้เมื่อยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 ในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคมของปีถัดไป กรมสรรพากรจะคืนเงินภาษีที่จ่ายเกินให้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการมีค่าลดหย่อนเพิ่มเติมหรือไม่

5. พนักงานสามารถเลือกไม่ให้บริษัทหักภาษี ณ ที่จ่ายได้หรือไม่?

คำตอบ: ได้ค่ะ พนักงานสามารถเลือกไม่ให้บริษัทหักภาษี ณ ที่จ่ายในแต่ละเดือน แล้วมายื่นและจ่ายภาษีเต็มจำนวนเองเมื่อถึงกำหนด แต่ต้องระวังว่าจะต้องมีเงินพร้อมจ่ายเมื่อถึงเวลายื่นภาษี

6. ค่าลดหย่อนอะไรบ้างที่สามารถนำมาหักได้นอกจากค่าลดหย่อนส่วนตัว?

คำตอบ: มีหลายประเภท เช่น:

  • ค่าลดหย่อนภรรยา/สามี 60,000 บาท (กรณีไม่มีเงินได้)
  • ค่าอุปการะบิดา-มารดา ท่านละ 30,000 บาท (อายุเกิน 60 ปี)
  • ค่าอุปการะบุตร คนละ 30,000 บาท
  • เบี้ยประกันชีวิต ไม่เกิน 100,000 บาท
  • ดอกเบี้ยบ้าน ไม่เกิน 100,000 บาท
  • เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ไม่เกิน 10,000 บาท (หักลดหย่อน) + ไม่เกิน 490,000 บาท (ยกเว้น)

7. หากมีการเปลี่ยนแปลงเงินเดือนหรือสถานะในระหว่างปี จะมีผลต่อการคำนวณภาษี ณ ที่จ่ายอย่างไร?

คำตอบ: บริษัทจะต้องปรับการคำนวณใหม่ โดยคาดการณ์เงินได้ตั้งแต่เดือนที่เปลี่ยนแปลงจนถึงสิ้นปี และอาจต้องปรับภาษี ณ ที่จ่ายในเดือนถัดไปให้เหมาะสม หรือในกรณีที่มีการเปลี่ยนสถานะ (แต่งงาน มีบุตร) ควรแจ้งฝ่าย HR เพื่อปรับข้อมูลค่าลดหย่อน

Share the Post:

รีวิวคอนโด อุดมสุข

รีวิวบ้าน อุดมสุข

อัพเดตล่าสุด