ในยุคที่การอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมกลายเป็นทางเลือกยอดนิยมของคนเมือง การรู้และเข้าใจ “ราคาประเมินห้องชุด” จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ซื้อ ผู้ขาย นักลงทุน หรือแม้กระทั่งผู้ที่กำลังยื่นขอสินเชื่อกับธนาคาร ราคาประเมินส่งผลโดยตรงต่อหลายขั้นตอนของการทำธุรกรรมและวางแผนทางการเงิน
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจอย่างละเอียดเกี่ยวกับราคาประเมินห้องชุด คืออะไร มีผลอย่างไร แตกต่างจากราคาตลาดอย่างไร และควรใช้ข้อมูลนี้ในการตัดสินใจอย่างไรบ้าง
ราคาประเมินห้องชุด คืออะไร
ราคาประเมินห้องชุด (Valuation Price) คือ มูลค่าของห้องชุดที่ได้รับการตีราคาจากหน่วยงานรัฐหรือเอกชนที่มีอำนาจในการประเมิน โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษี หรือเป็นข้อมูลอ้างอิงในการทำธุรกรรมต่าง ๆ เช่น การโอนกรรมสิทธิ์ ยื่นขอสินเชื่อกับธนาคาร ฯลฯ
แหล่งที่มาของราคาประเมิน
โดยทั่วไป ราคาประเมินมี 2 ประเภทหลัก ได้แก่
- ราคาประเมินราชการ (กรมธนารักษ์)
ใช้ในการคำนวณค่าธรรมเนียมการโอน, ภาษีธุรกิจเฉพาะ, อากรแสตมป์ ฯลฯ
มีการปรับราคาทุก 4 ปี (รอบบัญชี) - ราคาประเมินธนาคาร (หรือบริษัทประเมินอิสระ)
ใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาปล่อยสินเชื่อ
ประเมินตามสภาพจริง ทำเล อายุอาคาร และราคาเปรียบเทียบในตลาด
ราคาประเมิน vs ราคาตลาด ต่างกันอย่างไร
หลายคนอาจสับสนระหว่างราคาประเมินกับราคาตลาด (Market Price) ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้
รายการ | ราคาประเมินราชการ | ราคาตลาดจริง |
---|---|---|
ผู้ออกข้อมูล | กรมธนารักษ์ | ผู้ซื้อ–ผู้ขาย, ตลาด |
วัตถุประสงค์ | ใช้คำนวณภาษี ค่าธรรมเนียม | ซื้อ–ขายจริงในตลาด |
ความแม่นยำ | ค่อนข้างต่ำกว่าความเป็นจริง | แปรผันตามอุปสงค์–อุปทาน |
การอัปเดต | ทุก 4 ปี | เปลี่ยนตลอดเวลา |
ราคาประเมินมีผลต่อการขอสินเชื่ออย่างไร
เมื่อคุณยื่นขอสินเชื่อเพื่อซื้อคอนโด ธนาคารจะให้ความสำคัญกับราคาประเมินจากบริษัทประเมินที่ธนาคารรับรอง มากกว่าราคาตลาดจริง
- ธนาคารจะปล่อยกู้ “ตามราคาประเมิน” ไม่ใช่ราคาซื้อขายเสมอไป
- ตัวอย่าง: ซื้อคอนโด 3 ล้านบาท แต่ธนาคารประเมินไว้ 2.7 ล้าน → ปล่อยกู้สูงสุด 90% ของ 2.7 ล้าน = 2.43 ล้าน
- ส่วนต่าง (570,000 บาท) คุณต้องออกเงินเอง
ใช้ราคาประเมินคำนวณภาษี–ค่าโอนยังไง
การโอนกรรมสิทธิ์คอนโดที่กรมที่ดินจะใช้ราคาประเมินของกรมธนารักษ์ในการคำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น
ประเภทค่าใช้จ่าย | คำนวณจาก | หมายเหตุ |
---|---|---|
ค่าธรรมเนียมการโอน | 2% ของราคาประเมิน | ผู้ซื้อ–ผู้ขายแบ่งกันหรือแล้วแต่ตกลง |
ภาษีธุรกิจเฉพาะ | 3.3% ของราคาประเมิน | หากถือครอง < 5 ปีและไม่เป็นบ้านหลังแรก |
อากรแสตมป์ | 0.5% ของราคาประเมิน | ใช้กรณีไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ |
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย | คำนวณแบบขั้นบันได | อิงจากราคาประเมินและระยะเวลาครอบครอง |
วิธีตรวจสอบราคาประเมินห้องชุดด้วยตัวเอง
สามารถตรวจสอบราคาประเมินได้หลายช่องทาง
- เว็บไซต์กรมธนารักษ์
- แอปพลิเคชัน “กรมธนารักษ์”
- ติดต่อสำนักงานที่ดินเขตพื้นที่
- ขอประเมินจากบริษัทรับประเมินราคาทรัพย์สิน (กรณีต้องการข้อมูลเพื่อยื่นกู้)
ปัจจัยที่มีผลต่อราคาประเมิน
- ทำเลที่ตั้ง เช่น ใกล้รถไฟฟ้า ห้าง โรงเรียน โรงพยาบาล
- อายุของอาคาร อาคารที่สร้างมานานจะมีราคาประเมินต่ำลง
- ขนาดพื้นที่ใช้สอย ห้องที่มีขนาดใหญ่กว่ามักได้ราคาประเมินสูงกว่า
- วิว หรือยูนิตหัวมุม มีมูลค่าสูงกว่ายูนิตทั่วไป
- คุณภาพของวัสดุก่อสร้างและสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ
แนวโน้มราคาประเมินในอนาคต
ราคาประเมินราชการอาจมีการปรับเพิ่มในรอบบัญชีถัดไป โดยพิจารณาจากปัจจัยเศรษฐกิจ การพัฒนาเมือง และโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ เช่น
- คอนโดในแนวรถไฟฟ้าสายสีชมพู ส้ม เหลือง
- ย่านเศรษฐกิจใหม่ เช่น บางนา พระราม 9
- คอนโด Low-rise ในเมืองที่ดินหายาก
คำแนะนำสำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย
ผู้ซื้อ
- ตรวจสอบราคาประเมินก่อนตัดสินใจ
- เช็กวงเงินกู้ที่ธนาคารจะอนุมัติ
- เตรียมเงินสำรองหากราคาประเมินต่ำกว่าราคาขายจริง
ผู้ขาย
- ตั้งราคาขายโดยอิงจากราคาประเมินและราคาตลาด
- วางแผนภาษีจากราคาประเมินล่วงหน้า
- หาผู้ประเมินอิสระกรณีร่วมขายกับผู้ซื้อที่ยื่นกู้
สรุป
ราคาประเมินห้องชุดเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนการเงิน ซื้อ–ขายอสังหาริมทรัพย์ และใช้ประกอบการพิจารณาสินเชื่อ แม้ราคาประเมินอาจต่ำกว่าราคาตลาดจริง แต่ก็มีผลต่อภาษีและการกู้เงิน ดังนั้นควรให้ความสำคัญและตรวจสอบข้อมูลนี้ก่อนตัดสินใจทุกครั้ง