การซื้อคอนโดมิเนียมถือเป็นการลงทุนที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือเพื่อลงทุนปล่อยเช่าและขายต่อ แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ครอบครองคอนโดทุกคนต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ “ภาษีคอนโด” ภาษีเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงอย่างเดียว แต่ครอบคลุมตั้งแต่ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีเงินได้ ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีค่าเช่า ไปจนถึงค่าใช้จ่ายแฝงอื่น ๆ ที่กฎหมายกำหนด
บทความนี้จะสรุปให้ชัดเจนว่า เจ้าของคอนโดในปี 2568 ต้องเสียภาษีอะไรบ้าง เสียเมื่อไร เสียเท่าไร และมีวิธีบริหารจัดการอย่างไร เพื่อให้การครอบครองและลงทุนในคอนโดเป็นไปอย่างคุ้มค่าและถูกต้องตามกฎหมาย
ประเภทภาษีที่เกี่ยวข้องกับคอนโด
1. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (Land and Building Tax) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา และรวมถึงคอนโดมิเนียมที่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ต้องเสีย
- อัตราภาษี
- ที่อยู่อาศัย:
- มูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท → ได้รับการยกเว้น
- มูลค่าเกิน 50 ล้านบาท → เสียภาษีในอัตรา 0.02% ต่อปี
- หากเป็นคอนโดที่ไม่ได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าของเอง แต่ปล่อยเช่า → เข้าข่าย ที่ดินเพื่อการพาณิชย์ อัตราภาษีสูงกว่าคือ 0.3%–1.2% ตามมูลค่า
- ที่อยู่อาศัย:
- การชำระเงิน
เจ้าของต้องชำระภาษีปีละครั้ง โดยเทศบาลหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะส่งใบแจ้งประเมิน
2. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax)
หากมีการขายคอนโดหรือปล่อยเช่า เจ้าของต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- กรณีขายคอนโด
ภาษีจะถูกหัก ณ สำนักงานที่ดินในวันโอนกรรมสิทธิ์ โดยคำนวณจากราคาประเมินของกรมธนารักษ์หรือราคาซื้อขายจริง (แล้วแต่ว่าตัวไหนสูงกว่า)- หักค่าใช้จ่ายตามอายุการถือครอง (ตามตารางกรมสรรพากร)
- หักค่าลดหย่อนส่วนตัวได้ตามกฎหมาย
- จากนั้นจึงคำนวณอัตราภาษีตามขั้นบันได
- กรณีปล่อยเช่า
รายได้จากค่าเช่าต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้ประจำปี อัตรา 5%–35% ตามขั้นบันไดรายได้ แต่สามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 30% ของรายได้ค่าเช่า
3. ภาษีธุรกิจเฉพาะ (Specific Business Tax: SBT)
ใช้ในกรณีขายคอนโด ก่อนถือครองครบ 5 ปี (เว้นแต่เป็นการขายที่อยู่อาศัยหลังแรกที่เจ้าของใช้จริงและมีชื่อในทะเบียนบ้านเกิน 1 ปี)
- อัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ: 3% ของราคาประเมิน หรือราคาขาย (แล้วแต่ว่ามากกว่า)
- พร้อมกับ ภาษีท้องถิ่น 0.1% รวมเป็น 3.3%
4. อากรแสตมป์ (Stamp Duty)
- การขายคอนโด: หากไม่เข้าเกณฑ์เสีย SBT จะต้องเสียอากรแสตมป์แทน อัตรา 0.5% ของราคาขายหรือราคาประเมิน
- การปล่อยเช่า: สัญญาเช่าคอนโดต้องติดอากรแสตมป์ อัตรา 0.1% ของค่าเช่าตลอดอายุสัญญา
5. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)
- การขายคอนโด: หักตามอัตราภาษีก้าวหน้า (คำนวณจากราคาประเมิน/ราคาขาย)
- การปล่อยเช่า: หากผู้เช่าเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัท จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 5% ของค่าเช่า และนำส่งกรมสรรพากร
ตัวอย่างการคำนวณภาษีคอนโด
สมมติ นายเอ ซื้อคอนโดราคา 3,000,000 บาท และปล่อยเช่าเดือนละ 12,000 บาท
- ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง → เข้าข่ายเพื่อการพาณิชย์ 0.3% ของมูลค่า = 9,000 บาท/ปี
- รายได้ค่าเช่า = 144,000 บาท/ปี หักค่าใช้จ่ายเหมา 30% เหลือ 100,800 บาท ต้องนำไปยื่นรวมกับรายได้อื่นเพื่อเสียภาษี
- ถ้าขายก่อน 5 ปี ที่ราคา 3,500,000 บาท → ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% = 115,500 บาท
เทคนิคการวางแผนภาษีคอนโด
- ใช้สิทธิยกเว้นที่อยู่อาศัยหลัก – หากมีชื่อในทะเบียนบ้านที่คอนโดนั้น จะช่วยลดภาระภาษีที่ดิน
- วางแผนการขาย – หากถือครองเกิน 5 ปี จะช่วยเลี่ยง SBT และเสียเพียงอากรแสตมป์
- แยกการปล่อยเช่า – หากมีหลายยูนิต ควรวางแผนกระจายรายได้เพื่อบริหารขั้นบันไดภาษี
- ทำสัญญาเช่าอย่างถูกต้อง – เพื่อลดความเสี่ยงกรณีตรวจสอบ
- ยื่นภาษีตรงเวลา – การยื่นช้าอาจถูกปรับเงินเพิ่มและเบี้ยปรับ
กฎหมายและแนวโน้มในอนาคต
ในปี 2568 รัฐบาลไทยมีแนวโน้มเข้มงวดกับ การเก็บภาษีที่อยู่อาศัยเพื่อลงทุน มากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้คนซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และควบคุมการเก็งกำไรคอนโด ขณะเดียวกันก็มีแนวโน้มว่าจะ ปรับปรุงการจัดเก็บข้อมูลออนไลน์ ทำให้สรรพากรสามารถตรวจสอบรายได้จากการปล่อยเช่าได้ง่ายขึ้น
สรุป
ภาษีคอนโด ไม่ได้มีเพียงอย่างเดียว แต่ครอบคลุมหลายประเภท ทั้งภาษีที่ดิน ภาษีเงินได้ ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ และภาษีหัก ณ ที่จ่าย เจ้าของคอนโดทุกคนควรรู้รายละเอียดและวางแผนล่วงหน้า เพื่อไม่ให้เสียภาษีเกินความจำเป็น และยังสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อลดภาระได้
การเข้าใจเรื่องภาษีไม่เพียงช่วยให้การลงทุนคอนโด ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ยังทำให้เจ้าของสามารถ บริหารการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าในระยะยาว