จำนองที่ดินคืออะไร? รู้ให้ชัดก่อนใช้ที่ดินเป็นหลักประกัน

จำนองที่ดิน

การจำนองที่ดิน คือการนำ “ที่ดิน” หรือ “อสังหาริมทรัพย์” มาใช้เป็นหลักประกันเงินกู้ โดยไม่ต้องส่งมอบทรัพย์ให้แก่เจ้าหนี้ แต่จะมีการทำสัญญาและจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่กรมที่ดินอย่างเป็นทางการ ซึ่งหากผู้กู้ผิดนัด เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องศาลเพื่อยึดและขายที่ดินเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ตามสัญญา

ลักษณะของการจำนอง

การจำนอง ถือเป็นสัญญาประเภทหนึ่งที่ใช้ทรัพย์สิน — โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อสังหาริมทรัพย์” เช่น ที่ดิน บ้าน หรือคอนโด — มาเป็นหลักประกันหนี้ โดยไม่จำเป็นต้องส่งมอบทรัพย์นั้นให้แก่เจ้าหนี้ หรือที่เรียกกันว่า “ผู้รับจำนอง” ซึ่งลักษณะเฉพาะของการจำนองที่สำคัญและแตกต่างจากการขายฝากหรือการกู้ยืมทั่วไป มีดังนี้:

1. ผู้จำนองยังคงเป็นเจ้าของที่ดินตามกฎหมาย

ในกรณีของการจำนอง แม้จะมีการนำที่ดินมาเป็นหลักประกัน แต่กรรมสิทธิ์ในที่ดินจะยังคงเป็นของผู้จำนองอยู่ โดยไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้รับจำนอง ต่างจากการขายฝากที่ผู้ขายต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อฝากทันที โดยมีสิทธิไถ่คืนภายหลังภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

2. ผู้รับจำนองไม่มีสิทธิใช้ประโยชน์ในที่ดินโดยตรง

แม้ผู้รับจำนองจะได้รับสิทธิในเชิงประกันหนี้ แต่ไม่ได้มีสิทธิในการ “ครอบครอง” หรือ “ใช้สอย” ที่ดินนั้น เช่น ปลูกสร้าง ขาย หรือให้เช่า หากต้องการใช้ประโยชน์จากที่ดินนั้น ต้องขอความยินยอมจากเจ้าของที่ดิน (ผู้จำนอง) หรือมีข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรเพิ่มเติมที่ชัดเจน ซึ่งต่างจากการให้เช่าหรือการโอนสิทธิครอบครองที่มักมีการส่งมอบการใช้ประโยชน์ให้โดยตรง

3. ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานที่ดิน

การจำนองจะมีผลตามกฎหมายก็ต่อเมื่อมีการ “จดทะเบียน” อย่างถูกต้องต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานที่ดินในเขตพื้นที่ที่ทรัพย์นั้นตั้งอยู่ โดยไม่สามารถตกลงกันเป็นการส่วนตัวได้ เพราะหากไม่มีการจดทะเบียน จำนองจะไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย และไม่สามารถใช้สิทธิเรียกร้องคุ้มครองตามกฎหมายได้

4. มีผลใช้บังคับตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 702 เป็นต้นไป

การจำนองถูกบัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตั้งแต่มาตรา 702 – 745 โดยระบุถึงสิทธิหน้าที่ของทั้งผู้จำนองและผู้รับจำนองอย่างชัดเจน เช่น การบังคับจำนองในกรณีที่ลูกหนี้ผิดนัด การใช้สิทธิบังคับขายทอดตลาด และการระงับสัญญาจำนอง เป็นต้น ซึ่งมีผลทางกฎหมายชัดเจน และเป็นหลักประกันทั้งในทางแพ่งและในทางพาณิชย์

ที่ดินแบบไหนจำนองได้บ้าง?

การจะนำที่ดินไปจำนองนั้น ไม่สามารถใช้เอกสารหรือที่ดินทุกประเภทได้ จะต้องเป็นที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ชัดเจน และสามารถนำไปจดทะเบียนจำนองต่อสำนักงานที่ดินได้ตามกฎหมาย โดยที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่สามารถนำมาจำนองได้ มีลักษณะสำคัญดังนี้:

1. โฉนดที่ดิน (น.ส.4 จ.)

โฉนดที่ดิน (น.ส.4 จ.) นี่คือเอกสารสิทธิ์ที่ชัดเจนที่สุด และเป็นประเภทที่นิยมใช้มากที่สุดในการจำนอง เพราะโฉนดที่ดินถือเป็นหลักฐานกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์ สามารถซื้อขาย โอน จำนอง หรือใช้เป็นหลักทรัพย์ในการขอกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ทันที และมักได้รับการอนุมัติวงเงินสูงสุดเมื่อเทียบกับเอกสารประเภทอื่น

2. หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)

ที่ดินที่มีเอกสาร น.ส.3 ก. เป็นอีกประเภทหนึ่งที่สามารถนำมาจำนองได้ แต่มีข้อจำกัดมากกว่าโฉนดที่ดินเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจะจำนองกับธนาคารหรือสถาบันการเงิน อาจต้องมีการประเมินสภาพที่ดินอย่างรอบคอบ และบางแห่งอาจไม่รับจำนอง น.ส.3 ก. ในพื้นที่บางจังหวัดหรือบางเขตที่ยังไม่มีการวางแนวเขตอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม หากเป็นการจำนองระหว่างบุคคลหรือในรูปแบบของเงินกู้นอกระบบ (ซึ่งควรระวัง) น.ส.3 ก. ก็สามารถนำไปใช้เป็นหลักประกันได้ หากมีการจดทะเบียนจำนองอย่างถูกต้องตามขั้นตอนกฎหมาย

3. บ้านพร้อมที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ

นอกจากที่ดินเปล่าแล้ว ยังสามารถจำนองบ้านพร้อมที่ดิน คอนโดมิเนียม อาคารพาณิชย์ หรืออสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ ได้ด้วย โดยต้องเป็นทรัพย์สินที่มีเอกสารกรรมสิทธิ์ถูกต้อง เช่น ทะเบียนบ้าน, ใบอนุญาตปลูกสร้าง, หรือโฉนดคอนโดที่ออกโดยกรมที่ดิน

ในกรณีบ้านพร้อมที่ดิน หากต้องการจำนองเฉพาะบ้านโดยไม่รวมที่ดิน อาจทำได้ยาก เว้นแต่ในกรณีที่เป็นทรัพย์สินแยกกรรมสิทธิ์ เช่น บ้านเช่าหรือบ้านที่ปลูกบนที่ดินของผู้อื่น

4. เงื่อนไขอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณา

นอกจากประเภทเอกสารแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นที่มีผลต่อการจำนอง เช่น:

  • ที่ดินต้องไม่ติดภาระผูกพันหรือข้อพิพาททางกฎหมาย เช่น การถูกอายัด หรือคดีพิพาทสิทธิ์
  • ต้องไม่มีการจำนองไว้ก่อน หรือหากมีต้องเป็นการจำนองลำดับรอง (หากเจ้าหนี้รายแรกอนุญาต)
  • ต้องเป็นบุคคลที่มีสิทธิเต็มที่ในการทำธุรกรรม เช่น ไม่ใช่ผู้เยาว์ หรือบุคคลไร้ความสามารถ

ขั้นตอนการจำนองที่ดิน

  1. เตรียมเอกสารที่จำเป็น:
    • โฉนดที่ดินฉบับจริง
    • บัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้จำนองและผู้รับจำนอง
    • สัญญากู้ยืมเงินหรือเอกสารที่แสดงถึงหนี้สิน
  2. ทำสัญญาจำนอง:
    • ระบุรายละเอียดของหนี้สิน เช่น จำนวนเงิน ดอกเบี้ย ระยะเวลาการชำระหนี้
    • กำหนดเงื่อนไขการบังคับจำนองในกรณีที่ผู้จำนองผิดนัด
  3. จดทะเบียนจำนองที่สำนักงานที่ดิน:
    • นำเอกสารทั้งหมดไปยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
    • ชำระค่าธรรมเนียมและภาษีที่เกี่ยวข้อง
    • เมื่อการจดทะเบียนเสร็จสิ้น จะมีการบันทึกภาระจำนองในโฉนดที่ดิน

ค่าธรรมเนียมและภาษีที่เกี่ยวข้องกับการจำนองที่ดิน

ในการจำนองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ มีค่าใช้จ่ายและภาระภาษีหลายประเภทที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของค่าธรรมเนียมราชการและภาษีเงินได้ ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องควรทำความเข้าใจล่วงหน้าเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมและป้องกันปัญหาในภายหลัง โดยแบ่งรายละเอียดออกเป็นส่วนสำคัญดังนี้:

1. ค่าจดทะเบียนจำนอง

อัตรา: 1% ของวงเงินจำนอง
นี่คือค่าธรรมเนียมหลักที่ต้องจ่ายให้กับสำนักงานที่ดิน ณ วันที่ทำการจดทะเบียนจำนอง โดยจะคำนวณจาก วงเงินจำนองที่ระบุไว้ในสัญญา ไม่ใช่มูลค่าทรัพย์สิน ตัวอย่างเช่น:

  • หากจำนองวงเงิน 1,000,000 บาท
    ⇒ ค่าจดทะเบียนจำนอง = 1% = 10,000 บาท

ในบางกรณี เช่น จำนองเพื่อค้ำประกันหนี้จากสถาบันการเงิน หรือเป็นการช่วยเหลือกันในครอบครัว อาจมีการขอยกเว้นหรือลดหย่อนค่าธรรมเนียมได้ตามประกาศของกรมที่ดินในช่วงเวลานั้น ๆ

2. ค่าอากรแสตมป์

อัตรา: 0.05% ของวงเงินจำนอง
ค่าอากรแสตมป์เป็นภาษีอากรที่ใช้กับเอกสารสัญญาทางกฎหมาย เพื่อให้เอกสารมีผลทางกฎหมายอย่างสมบูรณ์ โดยต้องติดอากรแสตมป์ให้ถูกต้อง เช่น:

  • หากวงเงินจำนอง 1,000,000 บาท
    ⇒ ค่าอากรแสตมป์ = 0.05% = 500 บาท

ทั้งนี้ หากมีการยกเว้นอากรแสตมป์จากกฎหมายเฉพาะ หรือเป็นการจำนองกับธนาคารที่ได้รับยกเว้น ผู้ยื่นคำขอควรสอบถามจากเจ้าหน้าที่ที่ดินล่วงหน้า

3. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (เฉพาะผู้รับจำนองที่เป็นบุคคลธรรมดา)

หากผู้รับจำนองเป็นบุคคลทั่วไป และมีการคิดดอกเบี้ยจากการให้จำนอง เช่น คิดดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี วงเงินจำนอง 1 ล้านบาท จะได้รับดอกเบี้ย 50,000 บาทต่อปี กฎหมายกำหนดให้ดอกเบี้ยนี้เป็น เงินได้พึงประเมิน ต้องนำไปยื่นรวมในแบบแสดงรายได้ประจำปี (ภ.ง.ด. 90/91)

การหักค่าใช้จ่าย

  • ผู้รับจำนองสามารถเลือก หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 50% ของรายได้ หรือ
  • จะเลือก หักค่าใช้จ่ายตามจริง (พร้อมแนบหลักฐาน) ก็ได้ ขึ้นอยู่กับวิธีที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เสียภาษีมากกว่า

ตัวอย่าง: ได้รับดอกเบี้ยปีละ 100,000 บาท

  • หากหักค่าใช้จ่าย 50% ⇒ เหลือรายได้สุทธิ 50,000 บาท
  • จากนั้นต้องนำรายได้นี้ไปรวมกับรายได้ประเภทอื่น ๆ เพื่อคำนวณภาษีตามขั้นบันได

หมายเหตุ: หากผู้รับจำนองเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัท จะมีหลักเกณฑ์ภาษีที่แตกต่างกันออกไปตามกฎหมายภาษีนิติบุคคล

ข้อควรระวังในการจำนองที่ดิน

  • ตรวจสอบเอกสารสิทธิ์: ให้แน่ใจว่าไม่มีภาระผูกพันอื่น ๆ เช่น การจำนองซ้อน หรือการถูกอายัด
  • ทำสัญญาอย่างรอบคอบ: ระบุเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ชัดเจน และควรมีพยานในการลงนาม
  • เลือกผู้รับจำนองที่เชื่อถือได้: ควรเลือกสถาบันการเงินหรือบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต
  • ศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้อง: เพื่อป้องกันการเสียสิทธิ์หรือถูกเอาเปรียบ

การบังคับจำนองในกรณีผิดนัดชำระหนี้

เมื่อมีการทำสัญญาจำนองที่ดินหรือทรัพย์สินใด ๆ ผู้จำนองจะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการชำระหนี้หรือดอกเบี้ยตามระยะเวลาที่กำหนด หากผู้จำนองไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ ผู้รับจำนองย่อมมีสิทธิตามกฎหมายในการ “บังคับจำนอง” เพื่อเรียกคืนหนี้จากทรัพย์สินที่นำมาจำนองไว้ โดยขั้นตอนและกระบวนการมีรายละเอียดสำคัญดังต่อไปนี้:

1. เมื่อเกิดเหตุผิดนัดชำระหนี้

เหตุผิดนัดหมายถึงสถานการณ์ที่ผู้จำนองไม่ชำระหนี้ตามกำหนด ไม่ว่าจะเป็น:

  • ไม่ชำระเงินต้น
  • ไม่ชำระดอกเบี้ย
  • หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่น ๆ ในสัญญา

ผู้รับจำนองสามารถดำเนินการ ทวงถามและแจ้งเตือน เป็นลายลักษณ์อักษรแก่ผู้จำนองให้ดำเนินการชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่เหมาะสมก่อน หากยังไม่มีการชำระหนี้ตามกำหนด จึงสามารถดำเนินการฟ้องร้องได้

2. การฟ้องร้องเพื่อบังคับจำนอง

หากไม่มีการชำระหนี้แม้ได้รับการแจ้งเตือนแล้ว ผู้รับจำนองสามารถ ยื่นฟ้องศาลแพ่ง เพื่อบังคับให้มีการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จำนองไว้ โดยการฟ้องร้องนี้ต้องมีการแนบหลักฐานต่าง ๆ ได้แก่:

  • สัญญาจำนองที่จดทะเบียนต่อสำนักงานที่ดิน
  • เอกสารการกู้ยืมหรือหนี้ที่เกิดขึ้น
  • หลักฐานการผิดนัดชำระหนี้
  • หนังสือแจ้งเตือน (ถ้ามี)

3. คำสั่งของศาลและการขายทอดตลาด

หากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าการฟ้องร้องมีมูล และเป็นการผิดนัดชำระหนี้โดยชอบ ศาลจะมีคำสั่งให้ นำทรัพย์สินที่จำนองไว้ไปขายทอดตลาด ผ่านกรมบังคับคดี

  • รายได้จากการขายทอดตลาดจะถูกนำมาชำระหนี้ให้แก่ผู้รับจำนอง
  • หากมีเงินเหลือจากการขาย หลังหักหนี้และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ แล้ว ส่วนที่เหลือจะถูกคืนให้แก่ผู้จำนอง (เจ้าของทรัพย์เดิม)
  • ในกรณีที่ราคาทรัพย์ไม่พอชำระหนี้ทั้งหมด ผู้รับจำนองอาจฟ้องเรียกส่วนที่ขาดได้เพิ่มเติม หากสัญญาเปิดโอกาสให้ทำเช่นนั้น

4. ผู้รับจำนองไม่มีสิทธิยึดทรัพย์ไปเป็นของตนโดยตรง

ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้รับจำนองไม่มีสิทธิยึดทรัพย์ไปเป็นของตนเองทันที แม้ผู้จำนองจะผิดนัดชำระหนี้ก็ตาม ต้องผ่านกระบวนการฟ้องร้องและขายทอดตลาดโดยเจ้าพนักงานของรัฐเท่านั้น การตกลงกันล่วงหน้าในลักษณะที่ให้ผู้รับจำนอง “ได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินทันที” หากผิดนัด จะถือว่า เป็นโมฆะ ตามกฎหมาย

5. กรณีพิเศษ: จำนองโดยไม่มีสัญญาเงินกู้ (เช่น กู้ยืมภายในครอบครัว)

แม้บางกรณีจะไม่ได้มีการทำสัญญากู้ยืมที่ชัดเจน เช่น การกู้เงินภายในครอบครัวหรือเพื่อนฝูง แต่หากมีการจดทะเบียนจำนองไว้อย่างถูกต้อง ผู้รับจำนองก็สามารถใช้สิทธิตามกฎหมายในการฟ้องร้องและบังคับจำนองได้เช่นกัน โดยต้องแสดงหลักฐานที่เพียงพอว่าหนี้นั้นมีอยู่จริง และผู้จำนองผิดนัดชำระหนี้จริง

การจำนองที่ดินเป็นวิธีหนึ่งในการใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ โดยนำมาเป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงิน อย่างไรก็ตาม ควรศึกษาข้อมูลและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

Share the Post: