ค่าเสื่อมราคาเป็นแนวคิดสำคัญในทางบัญชีและภาษี ที่ใช้สะท้อนถึงการลดมูลค่าของสินทรัพย์เมื่อใช้งานไปตามเวลา โดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่มีการลงทุนในอุปกรณ์ อาคาร หรือยานพาหนะ การคำนวณค่าเสื่อมราคาอย่างถูกต้องช่วยให้สามารถวางแผนต้นทุน และประหยัดภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
บทความนี้จะพาคุณเข้าใจตั้งแต่พื้นฐานของค่าเสื่อมราคา วิธีคำนวณที่นิยมใช้ อัตราค่าเสื่อมตามกรมสรรพากรปี 2565 พร้อมตัวอย่างกรณีคิดค่าเสื่อม 20% ต่อปี เพื่อให้คุณสามารถนำไปใช้ในธุรกิจหรือการวางแผนการเงินได้จริง
ค่าเสื่อมราคาคืออะไร?
ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) คือ มูลค่าที่ลดลงของสินทรัพย์ถาวร เมื่อมีการใช้งานหรือเมื่อเวลาผ่านไป เช่น เครื่องจักร อาคาร รถยนต์ หรือเฟอร์นิเจอร์ โดยไม่ได้เกิดจากความเสียหายหรือเหตุสุดวิสัย
การบันทึกค่าเสื่อมราคามีผลทั้งในมุมของ บัญชี (เพื่อสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สิน) และ ภาษี (เพื่อลดรายได้สุทธิที่ต้องเสียภาษี)
ทำไมต้องคิดค่าเสื่อมราคา?
- เพื่อให้รายงานการเงินสะท้อนมูลค่าทรัพย์สินที่แท้จริง
- ลดภาระภาษี เพราะค่าเสื่อมถือเป็นค่าใช้จ่ายตามกฎหมาย
- ใช้ในการวิเคราะห์ผลตอบแทนจากสินทรัพย์
- วางแผนการเปลี่ยนหรือซ่อมแซมทรัพย์สินในอนาคต
ประเภทของสินทรัพย์ที่คิดค่าเสื่อมได้
- อาคาร โรงงาน
- รถยนต์ ยานพาหนะ
- เครื่องจักร อุปกรณ์
- คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สำนักงาน
- เฟอร์นิเจอร์
- สินทรัพย์ไม่มีตัวตน เช่น ลิขสิทธิ์ โปรแกรม
หมายเหตุ: ที่ดินไม่สามารถคิดค่าเสื่อมได้ เพราะไม่มีการเสื่อมค่า
วิธีการคิดค่าเสื่อมราคา
1. วิธีเส้นตรง (Straight Line Method)
วิธีนี้เป็นที่นิยมที่สุด โดยคิดค่าเสื่อมราคาเท่ากันทุกปีตลอดอายุการใช้งาน
สูตร:
ค่าเสื่อมต่อปี = (ราคาทุน – ราคาซาก) ÷ อายุการใช้งาน
ตัวอย่าง:
ซื้อคอมพิวเตอร์ราคา 30,000 บาท ใช้งาน 5 ปี ราคาซาก = 0
→ ค่าเสื่อมต่อปี = 30,000 ÷ 5 = 6,000 บาท/ปี
2. วิธีลดลงตามยอดสุทธิ (Declining Balance Method)
ใช้สำหรับทรัพย์สินที่มีการเสื่อมค่ามากในปีแรก ๆ
สูตร:
ค่าเสื่อมปีที่ x = มูลค่าสุทธิปีที่แล้ว × อัตราค่าเสื่อม
3. วิธีผลรวมจำนวนปี (Sum of the Years’ Digits Method)
เหมาะกับทรัพย์สินที่ใช้มากในช่วงแรก ๆ เช่น รถยนต์
อัตราค่าเสื่อมราคา 2565 (ตามประกาศกรมสรรพากร)
อัตราค่าเสื่อมสินทรัพย์ถาวรที่กรมสรรพากรกำหนด มีดังนี้:
ประเภททรัพย์สิน | อัตรา (% ต่อปี) | อายุใช้งาน (ปี) |
---|---|---|
อาคารถาวร | 5% | 20 ปี |
อาคารชั่วคราว | 100% | 1 ปี |
รถยนต์ | 20% | 5 ปี |
คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ IT | 33.33% | 3 ปี |
เครื่องจักรทั่วไป | 20% | 5 ปี |
เฟอร์นิเจอร์/อุปกรณ์สำนักงาน | 20% | 5 ปี |
วิธีคิดค่าเสื่อมราคา 20% ต่อปี (ตัวอย่าง)
กรณีคุณซื้อเฟอร์นิเจอร์สำนักงานราคา 50,000 บาท
→ อายุใช้งาน = 5 ปี → อัตราเสื่อม = 20%
วิธีคำนวณ:
ปีที่ 1: 50,000 × 20% = 10,000
ปีที่ 2: 50,000 × 20% = 10,000
…
รวม 5 ปี = 50,000 บาท (ครบ 100% ของราคาทุน)
การใช้วิธีเส้นตรงจะทำให้คิดค่าเสื่อมได้เท่ากันทุกปี
การบันทึกบัญชีค่าเสื่อมราคา
ตัวอย่างการลงบัญชี:
คัดลอกแก้ไขเดบิต ค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์สำนักงาน 10,000
เครดิต ค่าเสื่อมราคาสะสม – อุปกรณ์สำนักงาน 10,000
ค่าเสื่อมราคากับภาษี
ตามกฎหมายสรรพากร ธุรกิจสามารถนำค่าเสื่อมราคา มาหักเป็นค่าใช้จ่าย ก่อนคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลหรือลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดาได้
แต่ต้องใช้ตามอัตราที่กรมสรรพากรกำหนดเท่านั้น และต้องมีหลักฐานการใช้จริง
หากธุรกิจไม่ได้บันทึกค่าเสื่อมราคา อาจทำให้ดูเหมือนมีกำไรมากเกินไป ทำให้เสียภาษีสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น
ตารางตัวอย่าง: ค่าเสื่อมราคารถยนต์ 5 ปี (20%)
ปี | มูลค่าเริ่มต้น | ค่าเสื่อมต่อปี (20%) | มูลค่าสุทธิคงเหลือ |
---|---|---|---|
1 | 500,000 | 100,000 | 400,000 |
2 | 500,000 | 100,000 | 300,000 |
3 | 500,000 | 100,000 | 200,000 |
4 | 500,000 | 100,000 | 100,000 |
5 | 500,000 | 100,000 | 0 |
ข้อควรรู้เกี่ยวกับค่าเสื่อมราคา
- ค่าเสื่อมสามารถคำนวณได้ตั้งแต่ วันเริ่มใช้งานจริง
- หากขายสินทรัพย์ออกไป ต้องหยุดคิดค่าเสื่อมและบันทึก “กำไร/ขาดทุนจากการขายสินทรัพย์”
- ทรัพย์สินที่มีมูลค่าน้อย เช่น เครื่องใช้สำนักงานราคาต่ำกว่า 5,000 บาท สามารถตัดเป็นค่าใช้จ่ายได้ทันที
- ค่าเสื่อมไม่ใช่ “ค่าใช้จ่ายที่จ่ายเป็นเงินสด” แต่เป็นการกระจายต้นทุนของทรัพย์สิน
การใช้โปรแกรมคำนวณค่าเสื่อมราคา
ในปัจจุบันสามารถใช้โปรแกรมบัญชีเช่น FlowAccount, PEAK, หรือ Excel Template เพื่อช่วยคำนวณและบันทึกค่าเสื่อมอัตโนมัติ โดยใส่แค่ชื่อทรัพย์สิน ราคาทุน อายุการใช้งาน และเลือกวิธีการคิดค่าเสื่อม
บทสรุป
ค่าเสื่อมราคาเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการต้นทุนและภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อเข้าใจอัตราค่าเสื่อมในแต่ละประเภทสินทรัพย์ เช่น อัตราค่าเสื่อม 20% ต่อปี สำหรับเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องจักร รวมถึงการยึดถือแนวทางของกรมสรรพากรปี 2565 อย่างเคร่งครัดก็จะช่วยป้องกันปัญหาทางกฎหมายและลดภาระภาษีได้จริง
การวางแผนค่าเสื่อมอย่างเป็นระบบ จะทำให้คุณสามารถวางแผนเปลี่ยนสินทรัพย์ในอนาคต และประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น