เมื่อถึงวัยเกษียณ หลายคนมักเข้าใจว่า “เงินเกษียณ” หรือ “เงินชดเชยกรณีออกจากงาน” จะได้รับแบบเต็มจำนวน แต่ในความเป็นจริงแล้ว เงินก้อนนี้อาจถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายได้ ขึ้นอยู่กับรูปแบบของการจ่ายและจำนวนเงินที่ได้รับ หากไม่วางแผนให้ดี อาจสูญเสียโอกาสในการลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีโดยไม่รู้ตัว
บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจวิธีคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากเงินเกษียณ รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่ควรรู้ เพื่อให้คุณได้รับเงินหลังเกษียณอย่างคุ้มค่ามากที่สุด
เงินเกษียณ คืออะไร?
เงินเกษียณ หมายถึง เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อสิ้นสุดการทำงาน โดยเฉพาะกรณี ครบเกษียณอายุ หรือ ลาออกก่อนกำหนดตามข้อตกลง ซึ่งมักอยู่ในรูปแบบต่อไปนี้:
- เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน (Severance Pay)
- เงินบำเหน็จ (Gratuity)
- เงินสะสมจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
- เงินบำนาญ
- เงินโบนัสปลดเกษียณ (บางกรณี)
เงินเกษียณต้องเสียภาษีหรือไม่?
คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับประเภทของเงิน โดยเฉพาะหากเป็นเงินที่ได้จากนายจ้าง เช่น บำเหน็จหรือเงินชดเชย เงินเหล่านี้ถือว่าเป็นเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(1) หรือ 40(2) ซึ่งอาจได้รับการ ยกเว้นบางส่วน หรือ ทั้งจำนวน ตามมาตรา 42(1) และมาตรา 48(5)
วิธีคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายเงินเกษียณ (เข้าใจง่าย)
กรณี 1: เงินชดเชยหรือบำเหน็จเกษียณอายุจากนายจ้าง
ยกเว้นภาษีได้สูงสุด 300,000 บาทแรก
และส่วนที่เกินสามารถใช้วิธี “หักลดหย่อนแบบเหมา 7,000 บาทต่อปีทำงาน” แล้วคูณอัตราภาษีแบบเฉลี่ย 5 ปี
ขั้นตอนคำนวณ:
- นำยอดเงินที่ได้รับ หัก 300,000 บาทแรก (ยกเว้นภาษี)
- เงินที่เหลือ หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา = 7,000 x จำนวนปีทำงาน (สูงสุดไม่เกิน 40 ปี)
- เงินสุทธิที่ได้ = นำไปเฉลี่ยหาร 5 ปี
- คำนวณภาษีแบบขั้นบันได จากเงินเฉลี่ย
- คูณ 5 = ภาษีที่ต้องจ่ายทั้งก้อน
- หัก ณ ที่จ่ายทันที หรือรอยื่นภาษีสิ้นปี
ตัวอย่าง:
นาย A เกษียณอายุ ได้รับเงินบำเหน็จ = 1,200,000 บาท
ทำงานมา 30 ปี
- ยกเว้นภาษี 300,000 บาท → เหลือ 900,000 บาท
- หักค่าใช้จ่าย = 7,000 × 30 = 210,000 บาท
- เหลือเงินสุทธิ 900,000 – 210,000 = 690,000 บาท
- เฉลี่ยรายได้ = 690,000 ÷ 5 = 138,000 บาท/ปี
- ภาษีต่อปี (อัตราปี 2567):
- ยกเว้น 150,000 แรก → ไม่ต้องเสียภาษี
- ดังนั้น ภาษีที่ต้องชำระ = 0 บาท
กรณีนี้ ไม่เสียภาษี แม้ได้เงิน 1.2 ล้าน เพราะอยู่ในสิทธิยกเว้น
กรณี 2: เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund)
กรณีลาออกเพราะเกษียณอายุ และอยู่ในกองทุนเกิน 5 ปี
สามารถยกเว้นภาษีได้ทั้งหมด ตามมาตรา 42(11)
แต่ถ้าลาออกก่อนเกษียณ หรืออยู่ในกองทุนไม่ถึง 5 ปี อาจต้องนำบางส่วนมารวมเป็นรายได้เพื่อเสียภาษี
ตารางอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ปี 2567)
รายได้สุทธิ (บาทต่อปี) | อัตราภาษี (%) |
---|---|
0 – 150,000 | ยกเว้น |
150,001 – 300,000 | 5 |
300,001 – 500,000 | 10 |
500,001 – 1,000,000 | 15 |
1,000,001 – 2,000,000 | 20 |
2,000,001 – 5,000,000 | 25 |
5,000,001 – 10,000,000 | 30 |
มากกว่า 10,000,000 | 35 |
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
หากคุณเป็นผู้รับเงินเกษียณหรือผู้จัดการฝ่ายบุคคล ควรเตรียมเอกสารเหล่านี้:
- หนังสือรับรองการเกษียณ (จากนายจ้าง)
- ใบรับรองการจ่ายเงิน (50 ทวิ)
- หลักฐานการเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
- หลักฐานระยะเวลาการทำงาน
ข้อควรรู้เพิ่มเติม
- หากคุณ ลาออกก่อนเกษียณ และได้รับเงินก้อน ควรปรึกษาฝ่ายบัญชีว่าสามารถใช้สิทธิยกเว้นใดได้บ้าง
- หากคุณมี รายได้อื่น เช่น ค่าเช่า ดอกเบี้ย ต้องรวมยื่นภาษีปลายปีด้วย
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นการ ชำระภาษีล่วงหน้า หากชำระเกินสามารถขอคืนได้เมื่อยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90
สรุป
การคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากเงินเกษียณอาจดูซับซ้อนในตอนแรก แต่หากเข้าใจหลักการพื้นฐาน จะช่วยให้คุณประเมินภาระภาษีได้อย่างถูกต้อง และสามารถวางแผนการเกษียณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่าลืมใช้สิทธิ ยกเว้นภาษี 300,000 บาทแรก และ ค่าใช้จ่าย 7,000 บาทต่อปีทำงาน รวมถึงปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหากมีข้อสงสัย เพื่อให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากเงินเกษียณก้อนสำคัญนี้