ก่อนซื้อบ้าน ควรมีเงินสำรองผ่อนบ้านเผื่อฉุกเฉินกี่เดือนถึงจะปลอดภัย

ก่อนซื้อบ้าน ควรมีเงินสำรองผ่อนบ้านเผื่อฉุกเฉินกี่เดือนถึงจะปลอดภัย

การมี “บ้าน” เป็นหนึ่งในความฝันใหญ่ของหลาย ๆ คน เพราะไม่เพียงแต่เป็นที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การซื้อบ้านก็เป็นภาระทางการเงินก้อนใหญ่ที่ต้องวางแผนรอบคอบ โดยเฉพาะเรื่อง เงินเก็บสำรองฉุกเฉินที่จะช่วยให้คุณสามารถผ่อนบ้านต่อได้ แม้ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น ตกงาน รายได้ลด หรือมีค่าใช้จ่ายเร่งด่วน

คำถามสำคัญคือ ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน ควรมีเงินเก็บสำรองไว้ใช้เผื่อฉุกเฉินสำหรับผ่อนบ้านอย่างน้อยกี่เดือน? บทความนี้จะมาอธิบายให้ละเอียด พร้อมเคล็ดลับการวางแผนการเงิน เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจซื้อบ้านอย่างมั่นใจ

ทำไมต้องมีเงินเก็บสำรองก่อนซื้อบ้าน?

  1. ลดความเสี่ยงในการผ่อนบ้านไม่ไหว
    • หากไม่มีเงินเก็บสำรอง เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น ตกงาน หรือเจ็บป่วย คุณอาจไม่สามารถผ่อนบ้านต่อได้
  2. สร้างความมั่นใจและความมั่นคง
    • การมีเงินเก็บช่วยให้คุณไม่ต้องเครียดเกินไปเมื่อต้องเจอสถานการณ์ไม่คาดคิด
  3. ป้องกันการถูกยึดบ้าน
    • หากค้างชำระนานเกินไป ธนาคารอาจดำเนินการยึดบ้าน เงินเก็บสำรองจะช่วยให้คุณยังคงผ่อนต่อได้

เงินเก็บสำรองควรมีเท่าไร?

หลักทั่วไปที่นักวางแผนการเงินแนะนำคือ

  • ควรมีเงินเก็บสำรอง อย่างน้อย 6 เดือนของค่าใช้จ่ายทั้งหมดในครัวเรือน
  • และควรมี เงินสำรองสำหรับผ่อนบ้านอย่างน้อย 12 เดือน เพื่อความอุ่นใจ

ตัวอย่าง:

  • ค่าผ่อนบ้านเดือนละ 15,000 บาท
  • ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เดือนละ 20,000 บาท
    ➡️ เงินเก็บสำรองที่ควรมีอย่างน้อย = (15,000 + 20,000) × 6 = 210,000 บาท
    ➡️ แต่เพื่อความมั่นใจ ควรเผื่อค่าผ่อนบ้านอีก 6 เดือน รวมเป็น 300,000 บาท

ปัจจัยที่มีผลต่อจำนวนเงินเก็บสำรอง

  1. รายได้และความมั่นคงของงาน
    • หากคุณทำงานที่มั่นคง เช่น ข้าราชการ อาจเก็บสำรองไม่ต้องมากเท่าคนทำงานอิสระ
  2. จำนวนสมาชิกในครอบครัว
    • ถ้ามีภาระดูแลลูกเล็ก หรือผู้สูงอายุ ต้องเผื่อเงินเพิ่มขึ้น
  3. หนี้สินอื่น ๆ ที่มีอยู่
    • เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้รถยนต์ ควรนำมาคิดรวมด้วย
  4. สุขภาพและประกันที่ถืออยู่
    • หากมีประกันสุขภาพที่ครอบคลุมดี อาจไม่ต้องเผื่อเงินก้อนใหญ่สำหรับค่ารักษาพยาบาล

วิธีวางแผนเก็บเงินสำรองก่อนซื้อบ้าน

  1. ประเมินรายได้และค่าใช้จ่าย
    • ทำบัญชีรายรับ–รายจ่ายอย่างน้อย 3–6 เดือน เพื่อเห็นภาพชัดเจน
  2. ตั้งเป้าหมายเงินเก็บสำรอง
    • เช่น ต้องการเก็บ 300,000 บาทก่อนซื้อบ้าน
  3. แยกบัญชีเงินเก็บฉุกเฉิน
    • เปิดบัญชีแยกต่างหากเพื่อเก็บเงินส่วนนี้ ไม่ควรปนกับเงินใช้จ่ายประจำ
  4. ลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
    • เช่น งดช้อปปิ้งเกินจำเป็น เพื่อลดเวลาการเก็บเงิน
  5. เพิ่มรายได้เสริม
    • เช่น ฟรีแลนซ์ ขายของออนไลน์ หรือลงทุนในกองทุนความเสี่ยงต่ำ

เคล็ดลับเลือกบ้านให้เหมาะกับกำลังการเงิน

  • ผ่อนบ้านไม่ควรเกิน 35% ของรายได้ต่อเดือน
  • เลือกสินเชื่อบ้านที่ดอกเบี้ยต่ำและเงื่อนไขผ่อนสบาย
  • เปรียบเทียบธนาคารหลายแห่งก่อนตัดสินใจ
  • หลีกเลี่ยงการซื้อบ้านราคาสูงเกินกำลัง เพราะจะทำให้เงินเก็บสำรองไม่เพียงพอ

สิ่งที่อาจเกิดขึ้นถ้าไม่มีเงินเก็บสำรอง

  • ผ่อนบ้านไม่ไหว ต้องกู้หนี้เพิ่มหรือถูกยึดบ้าน
  • เครียดและกดดันทางจิตใจ ส่งผลต่อสุขภาพ
  • ครอบครัวเดือดร้อน เพราะต้องนำเงินค่าใช้จ่ายจำเป็นไปโปะหนี้บ้าน

ตัวอย่างสถานการณ์จริง

  • นายเอ มีรายได้ 50,000 บาทต่อเดือน ผ่อนบ้านเดือนละ 18,000 บาท แต่ไม่มีเงินเก็บสำรอง
  • อยู่ ๆ บริษัทปิดกิจการ ทำให้นายเอตกงาน
  • ภายใน 2 เดือน เงินเก็บเล็กน้อยหมดไป ต้องกู้ยืมญาติและเสี่ยงถูกยึดบ้าน

กรณีนี้จะไม่เกิดขึ้น หากนายเอมีเงินเก็บสำรองอย่างน้อย 12 เดือนของค่าผ่อนบ้าน

คำถามที่พบบ่อย

Q: เงินเก็บฉุกเฉินควรเก็บไว้ที่ไหนดีที่สุด?
A: ควรเก็บไว้ในบัญชีออมทรัพย์ ดอกเบี้ยต่ำ แต่ถอนง่าย ใช้ได้ทันที

Q: ควรซื้อประกันแทนการเก็บเงินสดได้ไหม?
A: ประกันช่วยได้บางส่วน แต่ไม่ควรแทนเงินสดทั้งหมด เพราะประกันใช้เวลาคืนเงิน

Q: ซื้อบ้านมือสองหรือบ้านใหม่ มีผลต่อเงินสำรองไหม?
A: มีผล บ้านมือสองอาจมีค่าใช้จ่ายซ่อมแซมเพิ่มเติม ต้องเผื่อเงินมากขึ้น

สรุป

ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน คุณควรมีเงินเก็บสำรองไว้ใช้เผื่อฉุกเฉินอย่างน้อย 6 เดือนของค่าใช้จ่ายครัวเรือน และ 12 เดือนของค่าผ่อนบ้าน เพื่อความมั่นคงและลดความเสี่ยง การมีบ้านเป็นเรื่องใหญ่ แต่การมี บ้านที่ผ่อนต่อได้อย่างสบายใจ สำคัญกว่า

การเตรียมเงินเก็บสำรองไม่เพียงช่วยให้คุณมั่นใจในการผ่อนบ้าน แต่ยังช่วยปกป้องครอบครัวจากความเสี่ยงทางการเงินที่ไม่คาดคิดอีกด้วย

Share the Post:

รีวิวคอนโด อุดมสุข

รีวิวบ้าน อุดมสุข

อัพเดตล่าสุด