การมี “บ้าน” เป็นหนึ่งในความฝันใหญ่ของหลาย ๆ คน เพราะไม่เพียงแต่เป็นที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การซื้อบ้านก็เป็นภาระทางการเงินก้อนใหญ่ที่ต้องวางแผนรอบคอบ โดยเฉพาะเรื่อง เงินเก็บสำรองฉุกเฉินที่จะช่วยให้คุณสามารถผ่อนบ้านต่อได้ แม้ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น ตกงาน รายได้ลด หรือมีค่าใช้จ่ายเร่งด่วน
คำถามสำคัญคือ ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน ควรมีเงินเก็บสำรองไว้ใช้เผื่อฉุกเฉินสำหรับผ่อนบ้านอย่างน้อยกี่เดือน? บทความนี้จะมาอธิบายให้ละเอียด พร้อมเคล็ดลับการวางแผนการเงิน เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจซื้อบ้านอย่างมั่นใจ
ทำไมต้องมีเงินเก็บสำรองก่อนซื้อบ้าน?
- ลดความเสี่ยงในการผ่อนบ้านไม่ไหว
- หากไม่มีเงินเก็บสำรอง เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น ตกงาน หรือเจ็บป่วย คุณอาจไม่สามารถผ่อนบ้านต่อได้
- สร้างความมั่นใจและความมั่นคง
- การมีเงินเก็บช่วยให้คุณไม่ต้องเครียดเกินไปเมื่อต้องเจอสถานการณ์ไม่คาดคิด
- ป้องกันการถูกยึดบ้าน
- หากค้างชำระนานเกินไป ธนาคารอาจดำเนินการยึดบ้าน เงินเก็บสำรองจะช่วยให้คุณยังคงผ่อนต่อได้
เงินเก็บสำรองควรมีเท่าไร?
หลักทั่วไปที่นักวางแผนการเงินแนะนำคือ
- ควรมีเงินเก็บสำรอง อย่างน้อย 6 เดือนของค่าใช้จ่ายทั้งหมดในครัวเรือน
- และควรมี เงินสำรองสำหรับผ่อนบ้านอย่างน้อย 12 เดือน เพื่อความอุ่นใจ
ตัวอย่าง:
- ค่าผ่อนบ้านเดือนละ 15,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เดือนละ 20,000 บาท
➡️ เงินเก็บสำรองที่ควรมีอย่างน้อย = (15,000 + 20,000) × 6 = 210,000 บาท
➡️ แต่เพื่อความมั่นใจ ควรเผื่อค่าผ่อนบ้านอีก 6 เดือน รวมเป็น 300,000 บาท
ปัจจัยที่มีผลต่อจำนวนเงินเก็บสำรอง
- รายได้และความมั่นคงของงาน
- หากคุณทำงานที่มั่นคง เช่น ข้าราชการ อาจเก็บสำรองไม่ต้องมากเท่าคนทำงานอิสระ
- จำนวนสมาชิกในครอบครัว
- ถ้ามีภาระดูแลลูกเล็ก หรือผู้สูงอายุ ต้องเผื่อเงินเพิ่มขึ้น
- หนี้สินอื่น ๆ ที่มีอยู่
- เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้รถยนต์ ควรนำมาคิดรวมด้วย
- สุขภาพและประกันที่ถืออยู่
- หากมีประกันสุขภาพที่ครอบคลุมดี อาจไม่ต้องเผื่อเงินก้อนใหญ่สำหรับค่ารักษาพยาบาล
วิธีวางแผนเก็บเงินสำรองก่อนซื้อบ้าน
- ประเมินรายได้และค่าใช้จ่าย
- ทำบัญชีรายรับ–รายจ่ายอย่างน้อย 3–6 เดือน เพื่อเห็นภาพชัดเจน
- ตั้งเป้าหมายเงินเก็บสำรอง
- เช่น ต้องการเก็บ 300,000 บาทก่อนซื้อบ้าน
- แยกบัญชีเงินเก็บฉุกเฉิน
- เปิดบัญชีแยกต่างหากเพื่อเก็บเงินส่วนนี้ ไม่ควรปนกับเงินใช้จ่ายประจำ
- ลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
- เช่น งดช้อปปิ้งเกินจำเป็น เพื่อลดเวลาการเก็บเงิน
- เพิ่มรายได้เสริม
- เช่น ฟรีแลนซ์ ขายของออนไลน์ หรือลงทุนในกองทุนความเสี่ยงต่ำ
เคล็ดลับเลือกบ้านให้เหมาะกับกำลังการเงิน
- ผ่อนบ้านไม่ควรเกิน 35% ของรายได้ต่อเดือน
- เลือกสินเชื่อบ้านที่ดอกเบี้ยต่ำและเงื่อนไขผ่อนสบาย
- เปรียบเทียบธนาคารหลายแห่งก่อนตัดสินใจ
- หลีกเลี่ยงการซื้อบ้านราคาสูงเกินกำลัง เพราะจะทำให้เงินเก็บสำรองไม่เพียงพอ
สิ่งที่อาจเกิดขึ้นถ้าไม่มีเงินเก็บสำรอง
- ผ่อนบ้านไม่ไหว ต้องกู้หนี้เพิ่มหรือถูกยึดบ้าน
- เครียดและกดดันทางจิตใจ ส่งผลต่อสุขภาพ
- ครอบครัวเดือดร้อน เพราะต้องนำเงินค่าใช้จ่ายจำเป็นไปโปะหนี้บ้าน
ตัวอย่างสถานการณ์จริง
- นายเอ มีรายได้ 50,000 บาทต่อเดือน ผ่อนบ้านเดือนละ 18,000 บาท แต่ไม่มีเงินเก็บสำรอง
- อยู่ ๆ บริษัทปิดกิจการ ทำให้นายเอตกงาน
- ภายใน 2 เดือน เงินเก็บเล็กน้อยหมดไป ต้องกู้ยืมญาติและเสี่ยงถูกยึดบ้าน
กรณีนี้จะไม่เกิดขึ้น หากนายเอมีเงินเก็บสำรองอย่างน้อย 12 เดือนของค่าผ่อนบ้าน
คำถามที่พบบ่อย
Q: เงินเก็บฉุกเฉินควรเก็บไว้ที่ไหนดีที่สุด?
A: ควรเก็บไว้ในบัญชีออมทรัพย์ ดอกเบี้ยต่ำ แต่ถอนง่าย ใช้ได้ทันที
Q: ควรซื้อประกันแทนการเก็บเงินสดได้ไหม?
A: ประกันช่วยได้บางส่วน แต่ไม่ควรแทนเงินสดทั้งหมด เพราะประกันใช้เวลาคืนเงิน
Q: ซื้อบ้านมือสองหรือบ้านใหม่ มีผลต่อเงินสำรองไหม?
A: มีผล บ้านมือสองอาจมีค่าใช้จ่ายซ่อมแซมเพิ่มเติม ต้องเผื่อเงินมากขึ้น
สรุป
ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน คุณควรมีเงินเก็บสำรองไว้ใช้เผื่อฉุกเฉินอย่างน้อย 6 เดือนของค่าใช้จ่ายครัวเรือน และ 12 เดือนของค่าผ่อนบ้าน เพื่อความมั่นคงและลดความเสี่ยง การมีบ้านเป็นเรื่องใหญ่ แต่การมี บ้านที่ผ่อนต่อได้อย่างสบายใจ สำคัญกว่า
การเตรียมเงินเก็บสำรองไม่เพียงช่วยให้คุณมั่นใจในการผ่อนบ้าน แต่ยังช่วยปกป้องครอบครัวจากความเสี่ยงทางการเงินที่ไม่คาดคิดอีกด้วย