“กลิ่น” อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน แต่สำหรับผู้ที่ต้องเผชิญกลิ่นรบกวนอย่างต่อเนื่อง เช่น กลิ่นควันอาหารจากร้านค้า กลิ่นขยะสะสม กลิ่นควันบุหรี่ หรือกลิ่นจากโรงงาน ปัญหานี้อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต และคุณภาพชีวิต การมีกฎหมายที่ชัดเจนเพื่อจัดการปัญหากลิ่นรบกวนจึงมีความสำคัญ เพราะเกี่ยวพันกับทั้งสิทธิของบุคคล และความรับผิดชอบของผู้ก่อให้เกิดกลิ่น
กลิ่นรบกวนคืออะไร
กลิ่นรบกวน หมายถึง กลิ่นที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ หรือรุนแรงจนเกินควร ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อน การทำงาน หรือสุขภาพ การพิจารณาว่ากลิ่นใดถือว่าเป็น “กลิ่นรบกวน” ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้สึกส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่ยังพิจารณาจากความต่อเนื่อง ความรุนแรง และผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง
ตัวอย่างกลิ่นรบกวนที่พบบ่อย ได้แก่:
- กลิ่นควันจากการประกอบอาหาร
- กลิ่นจากการเผาขยะหรือการเผาสิ่งของ
- กลิ่นขยะหมักหมม
- กลิ่นสารเคมีจากโรงงานหรือกิจการอุตสาหกรรม
- กลิ่นควันบุหรี่จากห้องข้างเคียง
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกลิ่นรบกวน
ในประเทศไทย มีหลายกฎหมายที่สามารถนำมาใช้จัดการปัญหากลิ่นรบกวน ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของกลิ่นและผลกระทบที่เกิดขึ้น
- ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337
ระบุว่า เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ต้องไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนเกินสมควรแก่เพื่อนบ้าน เช่น กลิ่น ควัน เสียง ฝุ่นละออง หากผู้ใดได้รับผลกระทบ สามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายหรือขอให้หยุดการกระทำนั้นได้ - พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ. 2535
กำหนดให้กลิ่นเหม็นรบกวนเป็น “เหตุรำคาญ” ซึ่งเจ้าพนักงานท้องถิ่น เช่น สำนักงานเขต เทศบาล หรืออบต. มีอำนาจสั่งให้ผู้ก่อให้เกิดกลิ่นแก้ไข หากไม่ดำเนินการ อาจมีโทษปรับทางปกครอง - พ.ร.บ.การโรงงาน พ.ศ. 2535 และแก้ไขเพิ่มเติม
ใช้กับกรณีกลิ่นรบกวนจากโรงงานอุตสาหกรรม โดยโรงงานต้องควบคุมการปล่อยมลพิษ ไม่เช่นนั้นจะถูกสั่งปรับ แก้ไข หรือถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาต - กฎหมายคอนโดมิเนียม
ในกรณีที่กลิ่นมาจากห้องชุด เช่น กลิ่นบุหรี่ กลิ่นทำอาหารที่รบกวนผู้อยู่อาศัย คณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดมีสิทธิออกข้อบังคับและตักเตือน หรือถึงขั้นดำเนินการตามกฎหมายแพ่ง
สิทธิของผู้ที่ได้รับผลกระทบ
ผู้ที่ประสบปัญหากลิ่นรบกวนมีสิทธิที่จะดำเนินการดังนี้:
- สิทธิร้องเรียนต่อหน่วยงานท้องถิ่น
สามารถแจ้งเรื่องไปยังสำนักงานเขต เทศบาล หรืออบต. เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบและสั่งการแก้ไข - สิทธิฟ้องร้องต่อศาลแพ่ง
หากกลิ่นรบกวนเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง สามารถยื่นฟ้องศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งระงับการกระทำ และเรียกร้องค่าเสียหายได้ - สิทธิร้องเรียนต่อหน่วยงานควบคุมสิ่งแวดล้อม
หากเป็นกลิ่นจากโรงงาน สามารถร้องเรียนต่อกรมควบคุมมลพิษ หรือกรมโรงงานอุตสาหกรรม
วิธีการจัดการปัญหากลิ่นรบกวน
- เจรจาโดยตรงกับผู้ก่อให้เกิดกลิ่น
เริ่มจากการพูดคุยอย่างสุภาพ เพื่อให้เขาตระหนักถึงผลกระทบ - บันทึกหลักฐาน
ควรเก็บหลักฐาน เช่น การบันทึกภาพ วิดีโอ วันเวลา และบันทึกอาการเจ็บป่วย เพื่อใช้ยืนยันว่ามีผลกระทบจริง - ร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
หากการเจรจาไม่สำเร็จ สามารถยื่นเรื่องร้องเรียนไปยังสำนักงานเขต เทศบาล อบต. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง - ดำเนินการทางกฎหมาย
ในกรณีที่ปัญหาไม่ถูกแก้ไข สามารถยื่นฟ้องต่อศาลได้ โดยอาจเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งร่วมด้วย
ตัวอย่างกรณีปัญหากลิ่นรบกวน
- กลิ่นอาหารจากร้านริมทาง: ร้านขายอาหารที่ตั้งอยู่ใกล้บ้านปล่อยควันและกลิ่นเข้ามาในบ้านจนรบกวนการอยู่อาศัย เจ้าของบ้านสามารถร้องเรียนต่อเขต และหากไม่ได้ผล สามารถฟ้องศาลตามมาตรา 1337 ได้
- กลิ่นจากโรงงาน: โรงงานปล่อยกลิ่นสารเคมีจนชาวบ้านรอบข้างได้รับผลกระทบ หน่วยงานรัฐสามารถเข้าตรวจสอบและสั่งให้ปรับปรุงเครื่องจักร หากเพิกเฉยอาจถูกปิดโรงงาน
- กลิ่นบุหรี่ในคอนโด: ผู้อยู่อาศัยสูบบุหรี่ที่ระเบียงจนกลิ่นรบกวนห้องข้างเคียง นิติบุคคลสามารถออกข้อบังคับห้ามสูบในพื้นที่ส่วนกลาง และเจ้าของห้องที่ได้รับผลกระทบมีสิทธิฟ้องร้องได้
แนวทางป้องกันปัญหากลิ่นรบกวน
- ผู้ประกอบกิจการควรติดตั้งระบบระบายอากาศหรือเครื่องดักกลิ่น
- โรงงานควรปฏิบัติตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม
- ผู้พักอาศัยในคอนโดหรือบ้านควรเคารพสิทธิผู้อื่น เช่น ไม่ทิ้งขยะหมักหมม ไม่เผาสิ่งของใกล้พื้นที่ชุมชน
- หน่วยงานท้องถิ่นควรตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด
บทสรุป
กลิ่นรบกวนไม่ใช่เพียงปัญหาความไม่สบายใจ แต่ยังเป็นปัญหาสุขภาพและสิทธิขั้นพื้นฐานในการอยู่อาศัยอย่างสงบ กฎหมายไทยได้กำหนดแนวทางการป้องกันและการแก้ไขไว้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายแพ่ง กฎหมายสาธารณสุข หรือกฎหมายสิ่งแวดล้อม ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจึงไม่ควรมองข้ามสิทธิของตนเอง
การจัดการปัญหาควรเริ่มต้นจากการเจรจา หากไม่สำเร็จสามารถใช้กระบวนการร้องเรียนหรือดำเนินคดีตามกฎหมายได้ เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างสิทธิส่วนบุคคลและการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข